ผู้เขียน: admin

  • อร่อยไม่เท่ากัน เมนูยอดแย่ 100 อันดับ ที่คนทั่วโลก “ไม่แนะนำ” อาหารไทยติด 4 รายการ!!!

    เช็กรายชื่อ 100 อันดับ “อาหารยอดแย่” ที่คนทั่วโลกไม่แนะนำ พบเมนูจากประเทศไทยติด 4 รายการ เมื่อคำว่าอร่อยของเราไม่เท่ากัน

    TasteAtlas เว็บไซต์ไกด์ท่องเที่ยวได้รวบรวมรายชื่อ 100 อาหารที่ได้รับคะแนนการจัดอันดับ “ต่ำที่สุด” จากผู้คน นักชิม หรือนักวิจารณ์ทั่วโลก โดยรวบรวมผลจากการกดให้คะแนนเกือบ 600,000 ครั้ง

    ซึ่งจานที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ BLODPLAT (บลัดพาลท์) หรือเกี๊ยวจากประเทศฟินแลนด์ ทำจากแป้งไรย์หรือแป้งบาร์เลย์ที่ผสมกับเลือดสัตว์ ซึ่งได้รับคะแนนเพียง 1.6 ดาวจาก 5 ดาว

    ส่วนอาหารไทยที่อยู่ในรายการ “อาหารยอดแย่” มีทั้งหมด 4 เมนูคือ แกงไตปลา อันดับที่ 10 , หนอนไหม อันดับที่ 11 , ไข่ลูกเขย อันดับที่ 35 และต้มจืด อันดับที่ 63

    การจัดอันดับนี้เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของนักชิมจาก TasteAtlas แต่เว็บไซต์ยืนยันว่าสิ่งนี้ไม่ควรถูกมองเป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาหารระดับโลก โดยกล่าวว่า “จุดประสงค์ของพวกเขาคือการส่งเสริมอาหารท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม สร้างความภาคภูมิใจในอาหารดั้งเดิม และกระตุ้นความสนใจในจานอาหารที่คุณยังไม่เคยลอง”

  • หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ควรกินทุกวัน ที่ไทยมีครบ

    ควรรับประทานทุกวัน! หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ป้องกันมะเร็ง 7 ชนิด

    บรอกโคลีและผักตระกูลกะหล่ำขึ้นชื่อว่าเป็น “ผักต้านมะเร็ง” แต่คุณรู้หรือไม่? ผักในครัวอย่างหัวหอม กุยช่าย กระเทียม และต้นหอม ก็มีประสิทธิภาพต้านมะเร็งไม่แพ้กัน

    แพทย์ฉุกเฉิน ดร.จาง ซื่อเหิง เผยว่า ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารกำมะถันอินทรีย์และไฟโตเคมิคอล ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร แต่ยังมีพลังต้านมะเร็งที่น่าทึ่งอีกด้วย

    ดร.จาง ซื่อเหิง ได้แชร์ผ่านช่อง YouTube ของเขาภายใต้หัวข้อ “ผักชนิดนี้คืออาวุธลับต้านมะเร็งที่ทรงพลังที่สุด มีชื่อว่ากลุ่มหินลิ้นมังกรหรือพืชตระกูลหัวหอม” เมื่อหอมหัวใหญ่ถูกหั่น จะปล่อยก๊าซกำมะถัน (SPSO) ออกมา ซึ่งเมื่อสัมผัสกับชั้นน้ำตาบนผิวดวงตา จะเกิดกรดกำมะถันในปริมาณเล็กน้อย ทำให้ดวงตาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อชะล้าง ส่วนต้นหอมก็มีผลคล้ายกัน แต่เนื่องจากมีสารดังกล่าวน้อยกว่า จึงเกิดปฏิกิริยาเบากว่า

    หัวหอม, ต้นหอม, กระเทียม และกุยช่าย ซึ่งมีกลิ่นแรงโดดเด่น มีจุดเด่นร่วมกันคืออุดมไปด้วยสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ สารเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแหล่งของกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มรสชาติ แต่อย่ารับประทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้มีกลิ่นปากได้

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผักตระกูลหอมได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะผักต้านมะเร็ง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารกำมะถันต้านมะเร็งและไฟโตนิวเทรียนต์ เช่น เควอซิทิน (Quercetin) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีศักยภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง

    ดร.จาง ซื่อเหิง ชี้ว่า จากงานวิจัยทางระบาดวิทยาขนาดใหญ่พบว่า ผู้ที่รับประทานผักตระกูลหอมในปริมาณมากทุกวัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม ลดลงอย่างชัดเจน

    กินสดหรือปรุงสุก ต่างกันอย่างไร

    สารสำคัญในหัวหอมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สารกำมะถันอินทรีย์ที่ไวต่อความร้อน และโพลีฟีนอลต้านอนุมูลอิสระ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า:

    • กินสด: ช่วยเสริมประสิทธิภาพการต้านมะเร็งสูงสุด ควรสับหัวหอมแล้วพักไว้ 10 นาทีก่อนรับประทาน
    • ปรุงสุก: ใช้น้ำมันผัดด้วยไฟอ่อน (ประมาณ 160 องศา) นาน 4-8 นาที จะช่วยปลดปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น
    • วิธีที่ดีที่สุด: สลับรับประทานทั้งแบบสดและปรุงสุก เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด

    นอกจากนี้ กระเทียมดำเกิดจากการนำกระเทียมสดมาหมักในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ 60 องศาและความชื้นประมาณ 80% เป็นเวลาหลายสัปดาห์ งานวิจัยพบว่า กระเทียมดำมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ขณะที่กระเทียมสดมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบได้ดียิ่งกว่า

    ดร.จาง ซื่อเหิง เตือนเป็นพิเศษว่า ผักตระกูลหอมมีพิษต่อสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีสารกำมะถัน DPDS ซึ่งอาจทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นโรคโลหิตจาง และในกรณีรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการหายใจล้มเหลวได้ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการให้อาหาร และระมัดระวังไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ขณะหั่นผัก

  • ศัลยแพทย์หัวใจ ประสบการณ์ 25 ปี เผย 4 สิ่งที่ตัวเองยังหลีกเลี่ยง รวมถึงน้ำยาบ้วนปาก

    ศัลยแพทย์หัวใจ ผู้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี เผย 4 สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด รวมถึงน้ำยาบ้วนปาก

    ดร.เจเรมี ลอนดอน ศัลยแพทย์หัวใจ ผู้มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ซึ่งเคยรักษาผู้ป่วยนับพันรายตลอดอาชีพ ได้สั่งสมความรู้ล้ำค่ามากมายเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ แม้หลายคนทราบดีว่าการใช้ชีวิตบางอย่างเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง แต่แพทย์ผู้นี้เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้ว่า สิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันก็ส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันเผยประสบการณ์การทำงาน ซึ่งทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของการใส่ใจสิ่งที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

    ในวิดีโอล่าสุดบนช่อง YouTube ของเขา (@drjeremylondon) ดร.เจเรมี ลอนดอน ได้เปิดเผย 4 สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

    การสูบบุหรี่

    แม้จะดูชัดเจนว่าศัลยแพทย์หัวใจคงไม่แนะนำให้สูบบุหรี่ แต่คำเตือนจาก ดร.เจเรมี ลอนดอน อาจทำให้คุณตระหนักถึงผลเสียอย่างลึกซึ้ง

    ไม่ว่าคุณจะสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมหรือใช้บุหรี่ไฟฟ้า คุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ มะเร็ง โรคปอด และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

    ดร.ลอนดอน กล่าวว่า การสูบบุหรี่คือ “สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คุณสามารถทำกับตัวเองได้” เพราะมันทำลายเยื่อบุหลอดเลือดโดยตรง เพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดอุดตัน และเป็นสาเหตุของมะเร็ง

    ในสหราชอาณาจักร การสูบบุหรี่ยังคงเป็นสาเหตุหลักของโรคและการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันได้

    น้ำยาบ้วนปาก

    แม้การใช้น้ำยาบ้วนปากอาจดูไร้พิษภัย แต่มีงานวิจัยชี้ว่าน้ำยาบ้วนปากบางชนิด โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปาก และกระทบต่อสุขภาพในส่วนอื่นของร่างกาย

    ดร.เจเรมี ลอนดอน อธิบายว่า น้ำยาบ้วนปากสามารถกำจัดทั้งแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในปาก ซึ่งส่งผลให้สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ถูกรบกวน

    “โดยเฉพาะน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์” เขากล่าว “ไมโครไบโอมในลำไส้ หรือแบคทีเรียดีในร่างกายเรา เริ่มต้นที่ปาก หากแบคทีเรียนี้ถูกทำลาย สมดุลในลำไส้ของคุณอาจเสียได้”

    อาหารแปรรูป

    คุณจะไม่มีวันเป็นคนที่มีสุขภาพดีได้หากดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารแปรรูปตลอดเวลา ซึ่ง ดร.เจเรมี ลอนดอน ต้องการเตือนให้ทุกคนตระหนักว่าการรับประทานอาหารที่ดีคือกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่ดี

    แม้จะเป็นตัวเลือกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่อาหารแปรรูปเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว และระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยังเตือนว่า การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้

    “จำกัดหรือเลี่ยงอาหารแปรรูปในชีวิตประจำวัน” ดร.ลอนดอนกล่าว

    “คุณเป็นสิ่งที่คุณกินจริง ๆ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่คุณบริโภคให้พลังงานและเป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกเซลล์ในร่างกาย”

    แอลกอฮอล์

    ดร.ลอนดอน แนะนำว่า ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ แม้บางคนอาจคิดว่าไวน์แก้วหนึ่งในตอนกลางคืนดีต่อสุขภาพ แต่ ดร.ลอนดอน ไม่มั่นใจนัก เพราะแม้ในปริมาณเล็กน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

    “ขอโทษที่ต้องบอก แต่มันยังมีคำถามเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง” เขากล่าวในคลิป “มันเป็นพิษต่อทุกเซลล์ในร่างกายของคุณ”

    “สำหรับตัวผมเอง การเลิกดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตที่สุดที่ผมทำในฐานะผู้ใหญ่”

    ชาวเน็ตหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแนะนำของ ดร.ลอนดอน หลายคนรู้สึกประหลาดใจที่น้ำยาบ้วนปากติดอยู่ในลิสต์ด้วย อาทิ “ผมไม่รู้มาก่อนว่ามีน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ ขอบคุณครับคุณหมอ”, “มันเป็นความจริงทั้งหมด หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”, “เพิ่งทิ้งน้ำยาบ้วนปากไป และเริ่มใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารมากขึ้น”, “ในฐานะผู้ป่วยโรคหัวใจ ผมเห็นด้วยกับข้อความนี้” และ “สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยง ทำเพื่อตัวคุณเอง โดยเฉพาะถ้าคุณยังอายุน้อย และเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วสุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

  • ย้อนดูคฤหาสน์พันล้าน “ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์” วันนี้เหลือแค่ความทรงจำไฟป่าเผาเหลือแต่เถ้าถ่าน

    ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นางงามจักรวาลคนที่สองของไทย ย้อนดูภาพคฤหาสน์พันล้าน วันนี้เหลือเพียงความทรงจำไฟป่าเผาวอด

    นางงามจักรวาลคนที่สองของเมืองไทย ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ ไซม่อน ภรรยาของนักธุรกิจชาวอเมริกัน เฮิร์บ ไซม่อน เจ้าของบริษัทพัฒนาไซมอน หนึ่งในหุ้นใหญ่ของธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เช่น ห้างนอร์ดสตอร์ม มีทายาท 2 คน คนโตเป็นหนุ่มแล้ว ฌอน ไซมอน และคนเล็ก น้องโซฟี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา 

    ก่อนหน้านี้มีภาพครอบครัวของ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ พร้อมกับลูกๆ และเพื่อนๆ ของลูกๆ จัดปาร์ตี้เล็กๆ อย่างอบอุ่นในกันบ้านพักคฤหาสน์สุดหรู  

    ซึ่งจากภาพดังกล่าวทำให้ได้เห็นวิวและบรรยากาศของคฤหาสน์พันล้านของครอบครัวไซม่อน เป็นบ้านที่อยู่ในเมืองมอนเตซิโต ในแคลิฟอร์เนีย เป็นวิวภูเขาสวยงามมาก เรียกว่าคฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวและทรัพย์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ วันนี้ไฟป่าเผาไหม้เหลือเพียงแค่ความทรงจำ 

    แฟนๆ ต่างส่งกำลังใจให้ ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ อย่างล้นหลามเลยทีเดียว 

     

     

  • “กะหล่ำปลี” กับผลกระทบด้านสุขภาพ แบบไม่คาดคิดมาก่อน

    กะหล่ำปลีเป็นผักใบเขียวชนิดหนึ่งในวงศ์เดียวกับผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ดอกกะหล่ำปลี บร็อคโคลี และบรัสเซลส์สเปร็อด มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น กะหล่ำปลีแดง ม่วง เขียว และขาว แต่กะหล่ำปลีเขียวเป็นที่นิยมและหาซื้อได้ง่ายที่สุด สามารถรับประทานได้ทั้งแบบผักสดและสลัด กะหล่ำปลีอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงามอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การรับประทานกะหล่ำปลีมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จึงควรระมัดระวังในการบริโภค

    ผลกระทบด้านสุขภาพของกะหล่ำปลี

    1.เสี่ยงต่อการเกิดโรคคอพอก กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี แต่หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เนื่องจากมีสารกอยโตรเจนที่ขัดขวางการดูดซึมไอโอดีน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคคอพอก

    2.อาจทำให้ได้รับสารเคมีตกค้างสะสม กะหล่ำปลีที่ปลูกโดยใช้สารเคมี เมื่อรับประทานดิบ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารเคมีตกค้าง

    3.สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ต่อผักในวงศ์ผักกาดและกะหล่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีเนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ อาเจียน ผื่นขึ้น ใบหน้าและลิ้นบวมได้

    4. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและผู้ที่มีการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะหล่ำปลีด้วยเช่นกัน เพราะกะหล่ำปลีอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง เนื่องจากกะหล่ำปลี โดยเฉพาะกะหล่ำปลีดิบ อาจมีสารยับยั้งที่ไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์

    5. เนื่องจากกะหล่ำปลีมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานในปริมาณมาก โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไประหว่างผ่าตัด ที่อาจนำไปสู่อาการชักหมดสติ ดังนั้นจึงควรหยุดรับประทานกะหล่ำปลีอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด

    เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาเหล่านี้ ควรล้างกะหล่ำปลีให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือด่างทับทิมก่อนนำไปประกอบอาหาร การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยลดปริมาณสารเคมีตกค้างและทำลายสารกอยโตรเจนได้อีกด้วย

     

     

     

  • “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุด” เคล็ดลับคือผลไม้ 1 อย่าง ทั้งกินและทาผิว บอกอายุใครก็ไม่เชื่อ!

    บอกอายุใครก็ไม่เชื่อ สมฉายา “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุด” เผยเคล็ดลับคือผลไม้ 1 อย่าง ใช้ทั้งกินและทาผิว!

    “จีน่า สจ๊วร์ต” (Gina Stewart) บุคคลที่เป็นที่รู้จักในวงการสื่อสังคมออนไลน์และในวงการนางแบบจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก” ปัจจุบันอายุ 54 ปีแล้ว แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านั้นมาก

    คุณยายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดลีสตาร์ว่า “เลมอน” หรือ “มะนาว” เป็นผลไม้ที่มีความสำคัญมากๆ ต่อรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอ และถึงกับบอกตรงๆ ว่าเธอใช้ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้ ทดแทนการทาโรลออนในตอนเช้า หรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอื่นๆ ได้ด้วยซ้ำ

    “ฉันใช้เลมอนเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใต้วงแขน และเลมอนก็ติดทนนานกว่า 24 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอื่นๆ ในท้องตลาด เลมอนช่วยปกป้องผิวของฉันได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีกลิ่น และเป็นผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากธรรมชาติ 100%”

    “มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับสุขภาพและความฟิตของฉัน โดยเฉพาะผิวพรรณ และฉันอยากแนะนำให้คนอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน เพราะมะนาวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย”

    เธอยืนกรานว่ามะนาวคือสาเหตุที่ทำให้เธอดูสดชื่นอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะใช้เลมอนแทนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายแล้ว ยังดื่มน้ำมะนาว 2 ลูกเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำมาหลายปีแล้ว เพราะว่ามีแคลอรี่ต่ำ แต่มีวิตามินและสารอาหารสูง โดยจีน่าได้ระบุประโยชน์ต่อสุขภาพของการบริโภคมะนาวในทุกวัน ดังนี้

    1. ระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในมะนาวช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    2. ควบคุมน้ำหนัก: วิตามินซีในมะนาวอาจช่วยการจัดการน้ำหนักได้
    3. นิ่วในไต: กรดซิตริกในมะนาวอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้
    4. อาการเจ็บคอ: การดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวและน้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้
    5. สุขภาพผิว: วิตามินซีต่อต้านวัยช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยบำรุงผิวและความยืดหยุ่น
    6. การขาดน้ำ: การดื่มน้ำมะนาวสามารถช่วยป้องกันการขาดน้ำและลดความเสี่ยงของโรคลมแดดได้

    จีน่า ผู้หญิงจากโกลด์โคสต์ เป็นคุณแม่ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี และตอนนี้เธอก็มีลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว 3 คน และยังมีลูกสาววัย 10 ขวบอีกด้วย ในปี 2019 หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อระดมทุนช่วยเหลือเพื่อนที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลให้เธอได้รับเลือกให้ติดอยู่ในรายชื่อ Maxim Australia Hot 100 ในปีนั้น และเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นครั้งแรก

  • ทั่วโลกต้องจดจำ! WBC โพสต์ยกย่อง “ศรีสะเกษ” โคตรมวยชาวไทยผู้ช็อกโลก

    ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ สภามวยโลก (WBC) สถาบ้นหลักของวงการกำปั้นโลก ยกย่องให้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ของวงการมวยโลก และของสถาบันพวกเขา

    โดยล่าสุด “สภามวยโลก” ได้ออกมายกย่อง “เจ้าแหลม” ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย อดีตแชมป์โลกชาวไทย ในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ว่าเป็นนักมวยที่ทั่วโลกต้องจดจำ WBC Classics พร้อมข้อความ

    srio

    “ศรีสะเกษ สร้างความแปลกใจให้กับทั่วโลกด้วยการเอาชนะ โรมัน กอนซาเลซ ได้ถึงสองครั้งในปี 2017, อดีตแชมป์ WBC สร้างชื่อให้กับตัวเองทั้งในบ้านเกิด และทั่วโลก”

    สำหรับไฟต์สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักของทั่วโลกก็คือการที่สามารถเอาชนะคะแนน โรมัน กอนซาเลซ ยอดกำปั้นชาวนิการากัว ที่เคยถูกยกว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ผงาดแชมป์โลกสมัย 2 ทันที

    wbctaxz2

    แถมยังตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 แทนด้วยการเอาชนะน็อก โรมัน กอนซาเลซ ในยกที่ 4 ได้อีกครั้งในการป้องกันตำแหน่งครั้งแรก และถูกยกให้เป็น “น็อกเอาต์แห่งปี 2017”

    แม้สุดท้าย นักชกชาวไทย จะเสียเข็มขัดแชมป์โลกให้กับ ฮวน ฟรานซิสโก เอสตราด้า โคตรมวยชาวเม็กซิกัน แต่ชื่อของ ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย ก็ถูกจารึกว่าเป็นนักมวยชาวไทย ที่เคยเดินทางไปสร้างชื่อถึงแผ่นดินสหรัฐฯ ถึง 5 ไฟต์

    อ่านเพิ่มเติม

  • 5 วิธีจัดการผมหงอก ลดผมขาว เพิ่มผมดกดำเงางามเป็นธรรมชาติ

    หนึ่งในปัญหากวนใจสาว ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย คือปัญหาผมหงอก ผมขาว  บางคนแม้แต่การย้อมผมก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินภายในเซลล์รากผม ซึ่งเม็ดสีเหล่านี้จะลดลงเรื่อย ๆ จนทำให้ผมกลายเป็นสีขาว แต่จะเป็นในลักษณะของสีขาวที่ไม่เปล่งประกาย ไม่มีความสวยงาม ทั้งยังทำให้รู้สึกถึงการขาดความชุ่มชื้นอีกด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะมาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก รวมไปถึงการเป็นกรรมพันธุ์  ดังนั้นถ้าสาว ๆ ไม่อยากต้องเผชิญปัญหานี้ แนะนำ 5 วิธีจัดการผมหงอก ช่วยลดผมขาวได้ดีจริง และเพิ่มผมกำเกิดใหม่อย่างมีคุณภาพอีกด้วย

    5 วิธีจัดการผมหงอก ช่วยลดผมขาว

    1.เลือกใช้น้ำมันธรรมชาติ

    หนึ่งในตัวช่วยทำให้ผมขาวกลับมีสุขภาพดีและปลอดภัย คือ การใช้น้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันโรสแมรี่ น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก และน้ำมันละหุ่ง เป็นต้น โดยจะมีคุณสมบัติในการทำให้ผมและหนังศีรษะสุขภาพดีขึ้น มีกรดไขมันอิ่มตัวที่จะช่วยในการฟื้นฟูรากของเส้นผม กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดสี มีวิตามินกับแร่ธาตุที่จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี

    2.ดูแลตัวเองจากปัจจัยภายใน

    ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผมหงอกและผมขาวก่อนวัยอันควร คือ ปัจจัยภายใน ด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ดังนั้นจึงควรดูแลจากภายในร่วมไปด้วย เริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดลง เลือกวิตามินและแร่ธาตุที่เหมาะสมต่อร่างกาย สำหรับการฟื้นฟูผิวและสุขภาพของเส้นผมกับหนังศีรษะ ดื่มน้ำเปล่าสะอาดที่เพียงพอ เลี่ยงการสูบบุหรี่ และการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อทำให้ผมหงอกไม่ถูกกระตุ้นออกมาเร็วจนเกินไป

    3.ไม่ใช้ความร้อนกับเส้นผม

    ความร้อนเป็นส่วนทำให้ผมเสียง่ายและรวดเร็วมาก ทั้งยังทำให้หนังศีรษะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน จุดนี้เองผู้ที่มีปัญหาผมหงอกและผมขาวเร็ว จึงไม่ควรใช้ความร้อนในการจัดแต่งทรงผม เพราะส่งผลเสียต่อหนังศีรษะ รวมไปถึงการรับความร้อนจากแสงแดดก็ไม่ควรมากจนเกินไปด้วยเช่นกัน จึงควรปรับเปลี่ยนให้เป็นตัวช่วยในการจัดแต่งทรงผมที่ไม่ร้อนจนเกินไป และใช้เป็นสเปรย์กันความร้อนก่อนออกท่ามกลางแสงแดด เพื่อลดความร้อนที่จะส่งผลต่อหนังศรีษะได้มากขึ้น

    4.เลือกอาหารที่มีประโยชน์

    อาหารคือส่วนสำคัญที่จะช่วยบำรุงจากภายใน จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดผมหงอก ผมขาว และทำให้ผมเกิดใหม่มีสุขภาพแข็งแรง โดยเน้นอาหารที่มีสารไบโอติน วิตามินบี 12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก ที่จะมีอยู่ภายในกลุ่มธัญพืช ปลาทะเล ผักใบเขียว และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากนมวัว จะช่วยทำให้เกิดการบำรุงรากและเส้นผมที่มีความแข็งแรง เพิ่มความเงางาม ทำให้ผมเกิดใหม่มีความดกดำมากขึ้น

    5.ใช้สมุนไพรร่วมด้วย

    สมุนไพรกลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดผมหงอกและผมขาวได้เป็นอย่างดี เพียงแค่เลือกสมุนไพรที่มีคุณสมบัติตรงและมีความปลอดภัย เช่น พริกไทยดำที่จะให้คุณสมบัติในการชะลอการเกิดผมหงอก สามารถใช้ทั้งการรับประทานและการหมักผม หรือใช้เป็นดอกอัญชัน ที่จะทำให้สุขภาพผมมีความแข็งแรงมากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จึงทำให้ผมที่เกิดใหม่มีความดกดำ และยังมีขิงที่เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้สารอาหารตรงเข้าสู่รากผมได้เป็นอย่างดี

    ปัญหาผมหงอก ผมขาว หรือผมร่วง จะไม่เกิดขึ้นกับสาว ๆ เพียงแค่เลือกใช้ทั้ง 5 วิธีช่วยจัดการผมหงอก ผมขาว และเพิ่มผมดำที่มีคุณภาพเหล่านี้ ใช้อย่างต่อเนื่อง และดูแลตัวเองร่วมด้วย เพียงเท่านี้ผมเกิดใหม่จะดกดำเงางาม ลดการเกิดผมขาว และช่วยชะลอการหลุดร่วง ทำให้ผมมีสุขภาพดีขึ้นตามที่วาดฝันไว้ได้เลย

     

     

     

  • “เบลล่า ราณี” บอกแล้วของขวัญวันเกิด “วิล ชวิณ” คืออะไร กรี๊ดเลย

    เบลล่า ราณี เผยของขวัญวันเกิดในปีนี้จาก วิล ชวิณ แฟนหนุ่มนักธุรกิจแสนล้าน ฟังคำตอบแล้วกรี๊ดดังๆ เลย

    นางเอกสาว เบลล่า ราณี ต้องบอกว่าเธอลักกี้อินเกมและลักกี้อินเลิฟสุดๆ เพราะนอกจากจะได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าต่างๆ รวมถึงงานละครแล้ว เธอยังมีหวานใจอย่าง วิล-ชวิณ เจียรวนนท์ นักธุรกิจแสนล้านเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวคอยดูแลตลอดเวลาเป็นอย่างดี 

    ล่าสุด เบลล่า ราณี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงของขวัญวันเกิดที่ผ่านมานั้น แฟนหนุ่มอย่าง วิล ชวิณ ได้ให้อะไร งานนี้เจ้าตัวตอบว่าของขวัญสุดพิเศษก็คือ วิล ชวิณ นั่นเอง ทำเอาหลายคนที่ได้ฟังแล้วถึงกับกรี๊ดดังๆ สนั่นเลยทีเดียว 

    พร้อมกับบอกว่าของขวัญจริงๆ ของ วิล นั้นคือของเกี่ยวกับสุขภาพ 

    ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ของ เบลล่า ราณี นางเอกสวยทั้งกายและใจ

  • หมอเมืองนอกเตือน ของใช้ในบ้านที่เป็นพิษที่สุด แต่คนใช้กันทุกวัน แนะโยนทิ้งไปซะ

    หมอผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด เตือน ของใช้ในบ้านที่เป็นพิษที่สุด แต่มีคนมากมายใช้กันทุกวัน แนะนำให้โยนทิ้งไปซะ

    กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สำหรับหลายๆ บ้าน ที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ปรับอากาศมาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้านจะหายไป และมีความหอมสดชื่นเข้ามาแทน

    โดย ดร.เปดี มิร์ดามาดี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ที่มักออกมาให้คำแนะนำด้านสุขภาพผ่าน TikTok ได้ออกมาเตือนของถึงในภายในครัวเรือนชิ้นหนึ่ง ที่อาจเชื่อมโยงกับอาการคันตาหรืออาการภูมิแพ้ ในกรณีเลวร้ายที่สุดยังทำให้เกิดอาการหอบหืดรุนแรงด้วย

    ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ “น้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊ก” ที่ผู้คนใช้กันโดยทั่วไปในสหรัฐฯ

    iStockphoto

    ดร.เปดี กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำนวนมาก มีสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านการหายใจ ซึ่งอากาศที่เราหายใจเข้าไปก็คือวิธีการง่ายและเร็วที่สุดที่จะนำสารพิษเข้ามาสู่ร่างกายของเรา

    “หากคุณมีน้ำหอมปรับอากาศแบบเสียบปลั๊กใด ๆ ในบ้านหรือรถ ให้ปิดและโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการภูมิแพ้หรือหอบหืด” ดร.เปดี กล่าว

    ข้อมูลจาก Indoor Doctor พบว่ามีผลการศึกษาวิจัย พบว่ามีน้ำหอมปรับอากาศถึง 86% ที่มีสารพาทาเลต (phthalates) ซึ่งอาจขัดขวางการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้กิดปัญหาด้านการสืบพันธุ์

    นอกจากนี้ น้ำหอมปรับอากาศทั่ว ๆ ไป ก็มักจะมีฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในจมูกและลำคอ รวมถึงมีสาร VOCs ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดในเด็ก

    ดร.เปดี ยังย้ำว่า ใครที่ยังใช้น้ำหอมปรับอากาศแบบนี้ ให้ทำเพื่อตัวเองและครอบครัวด้วยการโยนมันทิ้งไปซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภายในบ้านมีโรคหอบหืดหรือปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ

    พร้อมกันนั้น ดร.เปดี ยังแนะนำทางเลือกอื่น ๆ สำหรับแก้ปัญหากลิ่นในบ้าน คือให้หันมาใช้เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยแทน