Blog

  • เน็ตไอดอลสาว เล่าประสบการณ์เล่น AV ครั้งแรก ถึงกับร้องไห้ เผยเรื่องที่นึกไม่ถึง

    เน็ตไอดอลสาวสวย เจ้าของหน้าอกไซส์ E เตรียมเดบิวต์วงการ AV เล่าประสบการณ์เล่นหนังผู้ใหญ่ครั้งแรก

    เว็บไซต์ ETtoday รายงานว่า เน็ตไอดอลสาวชาวญี่ปุ่นเจ้าของหน้าอกไซส์ E ซึ่งอยู๋ระหว่างรอบริษัทเผยแพร่ผลงานและประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ได้เปิดบัญชี TikTok เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เล่าประสบการณ์การถ่ายทำหนังผู้ใหญ่ ที่ทำให้เธอถึงกับร้องไห้ออกมา

    เน็ตไอดอลสาวรายนี้ ใช้ TikTok บัญชี kura.saku.no เป็นช่องทางสื่อสารกับแฟนๆ โดยเล่าถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าสู่วงการ AV และแบ่งปันประสบการณ์การถ่ายทำ เธอยอมรับว่าตัวเองไม่ได้โด่งดังมากนัก มีเพียงบางครั้งที่ถูกจำได้ตามร้านอาหารหรือขณะเดินเล่น

    เธอรู้ดีว่าการเป็นไอดอลตัวเล็กๆ ไม่ช่วยให้มีรายได้มากนัก ประกอบกับความสนใจในเรื่องเพศ จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่วงการนี้อย่างเต็มตัว

    เน็ตไอดอลสาว เผยว่า เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครนอกจากแฟน ทำให้ก่อนถ่ายทำรู้สึกกดดันและกังวลอย่างมาก หลังถ่ายทำผลงานทั้งสองเรื่องเสร็จ เธอถึงกับร้องไห้ระหว่างเดินทางกลับบ้านบนรถไฟชินคันเซ็น

    โดยเฉพาะครั้งที่ 2 เมื่อต้องร่วมงานกับนักแสดงชายที่อายุมากกว่า เธอถึงกับร้องไห้ออกมาในห้องพักก่อนเริ่มถ่ายทำ

    เนื่องจากผู้จัดการแจ้งว่ายังไม่สามารถเปิดเผยวันวางจำหน่ายผลงานและวันเปิดตัวได้ ในคลิป TikTok เธอจึงต้องสวมแว่นกันแดดและหน้ากากปิดบังใบหน้า พร้อมขอให้แฟนๆ อดใจรออย่างใจเย็น

  • “น็อต วิศรุต” สามี “ชมพู่ อารยา” แจกของขวัญปีใหม่ให้พนักงาน แต่ละชิ้นปังมาก

    นอกจากจะเป็นคุณพ่อสายอบอุ่น ที่ดูครอบครัวเป็นอย่างดี จนถูกยกให้เป็นสามีต้นแบบของใครหลายคนแล้ว สำหรับ น็อต วิศรุต สามีของซุปตาร์สาว ชมพู่ อารยา ในเรื่องของการทำธุรกิจก็ดูแลพนักงานได้ดีไม่แพ้กัน

    โดย น็อต วิศรุต ได้ทำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในแบรนด์ วีนายน์ (Vnine) จนสร้างรายได้ให้กับตระกูล รังษีสิงห์พิพัฒน์ อีกทั้งยังเป็นที่รักของทุกคนในบริษัท

    ล่าสุด ได้มีการเผยคลิปวิดีโอเนื่องในโอกาสงานเลี้ยงปีใหม่ 2025 ของบริษัท วีนายน์ ซึ่ง น็อต วิศรุต ได้จัดเต็มเปย์พนักงานด้วยการเตรียมของขวัญสุดพิเศษหลากหลายอย่างด้วยกัน เพื่อเป็นการให้รางวัลที่ทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี

    ไม่ว่าจะเป็น Ipad, Apple watch, IPhone, เงินสด, ทองคำ, เครื่องใช้ไฟฟ้า, จักยาน, มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น

    งานนี้ทำเอาแฟนๆ ที่ได้เห็นต่างเข้ามาคอมเมนต์กันยกใหญ่ อาทิ “โอโห พ่อสุดยอดมากค่าา ผู้บริหารที่เข้าใจคนทำงาน พนง.ตอนนี้มีกี่คนแล้วคะ”, “นี่แหละที่พนักงานต้องการ ดีใจแทนพนักงานที่มีเจ้านายที่ดีดูแลพนักงานดีเยี่ยม”, “ไม่อยากเป็นลูกน้องแล้วอยากเป็นลูกพ่อแทน”, “โอโหววว โรงงานพ่อน็อตเริ่ดมากค่าา”

  • หวยลาววันนี้ 13 มกราคม 2568 ผลหวยลาววันนี้ ออกอะไร

    ลุ้นสด หวยลาววันนี้ 13/01/68 ถ่ายทอดสดหวยลาว หวยลาวล่าสุด หวยลาวพัฒนา 13 มกราคม 2568 หวยลาวย้อนหลัง หวยลาว 6 ตัว วันนี้ออกอะไร งวด 13 มกราคม 2568 Laolottery หวยลาว ออกรางวัลทุก วันจันทร์ วันพุธ และ วันศุกร์

    ตรวจหวยลาวย้อนหลัง คลิกที่นี่

    รายงานผลหวยลาว 13 มกราคม 2568 (13/01/68) ผลหวยลาว 6 ตัวออกรางวัลดังนี้ 

    ตรวจหวยลาว งวดประจำวันที่ 13 มกราคม 2568

    เลข 6 ตัว : 998733
    เลข 5 ตัว : 98733
    เลข 4 ตัว : 8733
    เลข 3 ตัว : 733
    เลข 2 ตัว : 33

    เลขนามสัตว์

    • 17 นกกระยาง
    • 14 แมวบ้าน
    • 19 ผีเสื้อ
    • 31 กุ้ง


    ผลสลากพัฒนา 5/45

    • 33 / 11 / 28 / 05 / 39

    รายละเอียดผลหวย

     

    เงินรางวัล

    • เลข 4 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 6,000 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 6,000,000 กีบ
    • เลข 3 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 500 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 500,000 กีบ
    • เลข 2 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 60 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 60,000 กีบ

     

  • “เท่ง เถิดเทิง” ปลื้มใจลูกชาย “โหงวเฮ้ง” เข้าพิธีวิวาห์แล้ว บรรยากาศเฮฮาอบอุ่นมาก

    เท่ง เถิดเทิง ตลกคนดังปลื้มใจมากลูกชายคนโต โหงวเฮ้ง อัครพงษ์ศักดิ์ เข้าพิธีวิวาห์แล้ว ครอบครัวร่วมยินดีอย่างอบอุ่น

    เป็นเรื่องราวดีๆ ของครอบครัวตลกคนดัง เท่ง เถิดเทิง ที่ลูกชายคนโต โหงวเฮ้ง อัครพงศ์ศักดิ์ ยูทูบเบอร์คนดังแห่งช่อง GangBad TM ที่ล่าสุดวานนี้ได้เกี่ยวก้อยเจ้าสาว น้องกุ๊กกิ๊ก เข้าพิธีวิวาห์ตามแบบประเพณีไทย ท่ามกลางบรรยากาศสุดอบอุ่นและปลาบปลื้มใจมากๆ ของ พ่อเท่ง และ แม่มาลา  

    ทั้งนี้ เจ้าบ่าวโหงวเฮ้ง และ เจ้าสาวกุ๊กกิ๊ก ได้จับมือลูกน้อยเข้าพิธีแต่งงานด้วย เป็นภาพที่น่ารักและสร้างรอยยิ้มให้กับใครหลายคนเลยทีเดียว 

    นอกจากสองครอบครัวจะร่วมยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว ยังมีตลกคนดังของวงการ อาทิ หม่ำ จ๊กมก, เป็ด เชิญยิ้ม, โหน่ง ชะชะช่า, สุเทพ ศรีใส เป็นต้น 

    ต้องบอกว่าเป็นงานแต่งที่เรียบแต่หรู โรแมนติกและอบอุ่นมาก

  • ประวัติ “หมอจอย สนาธร” ดราม่าโดนบูลลี่หน้าตา เป็นทั้งแพทย์ มือเบส และทายาทหมื่นล้าน

    ประวัติ “หมอจอย สนาธร” ดราม่าโดนบูลลี่หน้าตา ซีดเหมือนคนป่วย สุดทึ่งเป็นทั้งแพทย์ มือเบส และทายาทหมื่นล้าน

    หมอจอย สนาธร หรือ แพทย์หญิงสนาธร รัตนภูมิภิญโญ กลายเป็นที่สนใจในโลกออนไลน์หลังเกิดประเด็นดราม่า เมื่อคลิปแนะนำตัวของเธอใน Janasia Plastic Surgery Clinic (@janasiaclinic) บน TikTok ถูกบางส่วนของชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์หน้าตา โดยกล่าวว่าใบหน้าของเธอดูซีดเซียวคล้ายคนป่วย ความเห็นดังกล่าวลุกลามจนเกิดการวิจารณ์ในแง่ลบเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของเธอและผลกระทบต่อคลินิก

    อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ได้เห็นคำวิจารณ์เหล่านั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจและร่วมกันส่งกำลังใจให้หมอจอยอย่างล้นหลาม ซึ่งหมอจอยก็ได้ตอบกลับดราม่าในเชิงบวก จนคลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัล พร้อมกับมีการเปิดเผยเรื่องราวชีวิตและความสามารถหลากหลายของเธอที่หลายคนอาจยังไม่รู้

    ประวัติการศึกษาและการทำงาน

    หมอจอย จบการศึกษาจาก คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และศึกษาต่อเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่งและแม็กซิลโลเฟเชี่ยลที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี ก่อนจะเริ่มต้นการทำงานในฐานะแพทย์ใช้ทุน และปัจจุบันเป็นแพทย์ประจำที่ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และคลินิกศัลยกรรม Janasia Plastic Surgery Clinic

    บทบาทอื่น ๆ ที่น่าทึ่ง

    นอกจากบทบาทในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หมอจอยยังเป็น มือเบส ของวงฟังก์ร็อก The Octopuss วงดนตรีที่เกิดจากการรวมตัวของเพื่อน ๆ ที่รักในเสียงเพลง โดยเธอและนิกส์ สมาชิกวงอีกคน รู้จักกันจากความชื่นชอบในวง Red Hot Chili Peppers ก่อนจะเริ่มฟอร์มวงและสร้างสรรค์ผลงานเพลงของตัวเอง

    ทายาทธุรกิจหมื่นล้าน

    หมอจอยยังเป็นทายาทของ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (RBF) บริษัทชั้นนำด้านการผลิตวัตถุดิบประกอบอาหาร เช่น แป้ง ซอส อาหารแช่แข็ง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยบริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึง 14,100 ล้านบาท ทั้งนี้ หมอจอยยังถือหุ้นในบริษัท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท

  • สามีภรรยาป่วย “มะเร็งกระเพาะอาหาร” ทั้งคู่ หมอชี้ต้นตอคือ “เมนูผัก” ที่พลาดตรงวิธีปรุง

    ผัวเมียชอบกินผัก กลับป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารทั้งคู่ หมอชี้ปัญหาไม่ใช่วัตถุดิบ แต่พลาดตรงวิธีปรุงที่ทำให้ก่อโรคร้าย

    ภรรยานามสกุลหลิวในมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ เข้ารับการรักษาเนื่องจากปวดท้องซ้ำๆ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ไม่นานนัก สามีของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระหว่างตรวจร่างกาย หลังจากสอบถามประวัติการกิน แพทย์พบว่าทั้งคู่ชอบกินผักดองเป็นประจำ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา “ทุกมื้ออาหารจะต้องมีผักดอง”

    ตามรายงานจาก “Jimu News” คู่สามีภรรยาทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำผักดองและมีชื่อเสียงในหมู่เพื่อนบ้านในหมู่บ้าน บางครั้งพวกเขาจัด “การแข่งขันทำผักดอง” เพื่อสนุกกับการทำอาหารพื้นบ้านแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม หญิงนามสกุลหลิว วัย 64 ปี เริ่มปวดท้องกะทันหันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อไปโรงพยาบาลพบว่าเธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ส่วนสามีวัย 65 ปี นามสกุลหลิว ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขณะตรวจร่างกาย

    ต่อมาคู่สามีภรรยาและครอบครัวได้สอบถามและพบแพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย หัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระเพาะอาหาร โรงพยาบาลฟูเจี้ยนยูเนี่ยน แพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย ได้วางแผนการรักษาโดยละเอียดสำหรับพวกเขาและดำเนินการผ่าตัดสำเร็จ โชคดีที่มะเร็งของทั้งคู่ยังอยู่ในระยะแรก และการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี

    แพทย์เชี่ย เจี้ยนเว่ย อธิบายว่า สาเหตุของมะเร็งกระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพและปัจจัยทางพันธุกรรม โดยผักดองเป็นอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง การบริโภคต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร และก่อให้เกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ “เอมีน” ซึ่งเป็นผลจากการย่อยสลายโปรตีนในกระเพาะ จะทำปฏิกิริยากับไนไตรต์ในร่างกาย เกิดเป็นไนโตรซามีนและสารอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง

    แพทย์เชี่ย ยังเตือนว่า การทำผักดองควรหมักอย่างทั่วถึง โดยใช้เวลาหมักไม่น้อยกว่า 3 เดือน เพื่อช่วยลดปริมาณไนเตรตในผักดอง นอกจากนี้ เมื่อต้องการรับประทาน ควรลดการใส่เกลือในอาหารอื่นๆ หรือแช่ผักดองในน้ำสะอาด ล้างหลายครั้ง เพื่อลดปริมาณเกลือก่อนบริโภค

  • แพทย์ไต้หวันเตือน 10 พฤติกรรมทำร้ายไต อ่านแล้ว “อุ๊ย!” คนไทยตรงทุกข้อ ทำจนเป็นนิสัย

    แพทย์ไต้หวันเตือน 10 พฤติกรรมทำร้ายไตไม่รู้ตัว อ่านแล้ว “อุ๊ย!” ตรงทุกข้อ คนไทยจำนวนมากก็ทำอยู่ทุกวัน

    จากสถิติล่าสุดพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในไต้หวันมีมากกว่า 2 ล้านคน นายแพทย์หง หย่งเซียง ชี้ให้เห็นว่านอกจากปัจจัยจากโรค เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ทำให้ไตเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งของสาเหตุเกี่ยวข้องกับ “พฤติกรรมที่ทำร้ายไตโดยไม่รู้ตัว” อย่างมาก เขายังได้สรุป “10 พฤติกรรมประจำวันของคนไต้หวันที่ทำร้ายไต” และกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้โดยเร็ว มิฉะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟอกไตในอนาคตได้

    นายแพทย์หงกล่าว ว่าปกติแล้วร่างกายมนุษย์มีหน่วยกรองไต (glomerulus) ประมาณ 2 ล้านหน่วย และทุกครั้งที่หน่วยเหล่านี้ตายไป จะไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ เขาอธิบายว่า การทำงานของไตจะถึงจุดสูงสุดในช่วงวัยรุ่น จากนั้นจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น และเมื่ออายุยืนขึ้น ควรดูแลให้ไตทำงานได้อย่างเพียงพอและมีสุขภาพดีจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เปรียบเสมือนการ “ประหยัดการใช้งาน”

    10 พฤติกรรมประจำวันของคนไต้หวันที่ทำร้ายไต ที่นายแพทย์หงสรุปไว้ ได้แก่:

    1. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
    2. รับประทานอาหารที่มีไขมัน, เกลือ และน้ำตาลสูง
    3. สูบบุหรี่และเผชิญกับมลพิษอากาศ PM2.5
    4. ความเครียดสูงและการนอนดึก
    5. ใช้ยาแก้ปวด, ยาปฏิชีวนะ และยาที่หาซื้อเองเกินความจำเป็น
    6. ดื่มเครื่องดื่ม ขนม และอาหารแปรรูป
    7. กลั้นปัสสาวะ
    8. นั่งนานโดยไม่เคลื่อนไหว
    9. การรับประทานอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดวิธี
    10. การใช้ภาชนะใส่อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม

    นายแพทย์หงยังกล่าวว่า การใช้ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยวและซุปในร้านอาหาร ซึ่งพบได้บ่อยในไต้หวัน เป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อไต นอกจากนี้ การนั่งนานโดยไม่ขยับตัวก็ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและการไหลเวียนโลหิตอย่างร้ายแรง งานวิจัยหนึ่งพบว่า หากนั่งนานเกิน 6 ชั่วโมง ทุก ๆ ชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลเสียต่อร่างกายเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 2 มวน

    ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หากนั่งนานและไม่ออกกำลังกาย งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าพฤติกรรมทั้งสองนี้ส่งผลเสริมกัน และอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็ง 6 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งรังไข่ ซึ่งยังเพิ่มอัตราการเสียชีวิตอีกด้วย

    นายแพทย์หงยังเตือนว่า เครื่องดื่มชานมไข่มุกมีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าเครื่องดื่มกระป๋อง เพราะมีน้ำตาลและฟรุกโตสมากกว่า โดยชานมไข่มุกหนึ่งแก้วมีพลังงานมากกว่า 700 แคลอรี หากดื่มเกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การทำงานของไตจะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นตามกาลเวลา

    ผู้ป่วยโรคไตในไทย

    ข้อมูลเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2567 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 11.6 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่าอายุของผู้ป่วยโรคมีแนวโน้มลดลง จากเดิมที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นวัยกลางคนมากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตในปัจจุบันมีการบริโภคอาหารรสจัด รับประทานอาหารปรุงสำเร็จหรืออาหารกล่องที่ไม่รู้ว่าผู้ขายใส่สารเคมีอะไรมาบ้าง ทำให้ไตเริ่มเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งต้องช่วยกันป้องกันโดยลดพฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อม 

    ทั้งนี้โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย กล่าวได้ว่าเป็นโรคล้มละลาย เพราะต้องบำบัดทดแทนไตไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต เช่น การฟอกเลือด สมัยก่อนค่าฟอกเลือดครั้งละ 4,000-5,000 บาท ทั้งต้องทำการฟอกเลือด 10-15 ครั้งต่อเดือน ดังนั้นผู้ป่วยมีเงินเท่าไหร่ก็หมด

     

  • เงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท เช็กรายชื่อจังหวัดรับเงินโอนเข้าบัญชี 13 ม.ค. 68

    เงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท เช็กรายชื่อจังหวัดไหน รับเงินโอนเข้าบัญชี 13 ม.ค. 68

    เงินเยียวยาน้ำท่วม ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรณึพิเศษ 9,000 บาท รอบที่ 8 ในพื้นที่ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ม.ค. 68 ได้โอนเงินให้ประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดดังนี้

    • พัทลุง
    • สงขลา
    • ชัยนาท
    • ยะลา
    • รวมจำนวน 7,517 ครัวเรือน

    สรุปภาพรวมการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 67 มีประชาชนลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 1,157,149 ครัวเรือน

    • ผ่านการประชาคมหมู่บ้านแล้ว 774,409 ครัวเรือน
    • ผ่านการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว 544,067 ครัวเรือน
    • ผ่านการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
    • ส่งข้อมูลให้ ปภ. แล้ว จำนวน 464,575 ครัวเรือน ซึ่ง ปภ. ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้วจำนวน 436,393 ครัวเรือน และธนาคารออมสินโอนเงินให้ผู้ประสบภัยแล้ว 7 ครั้ง จำนวน 409,367 ครัวเรือน เป็นเงินกว่า 3,684.303 ล้านบาท

    พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม วันที่ 20 พ.ค. – 2 พ.ย. 67

    • จ.ชัยนาท
    • จ.บุรีรัมย์
    • จ.สมุทรสาคร
    • จ.สิงห์บุรี

    พื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ วันที่ 3 พ.ย. 67 – 31 ธ.ค. 67

    • จ.กระบี่
    • จ.ชุมพร
    • จ.นครศรีธรรมราช
    • จ.นราธิวาส
    • จ.ปัตตานี
    • จ.ประจวบคีรีขันธ์
    • จ.ตรัง
    • จ.พัทลุง
    • จ.ยะลา
    • จ.สงขลา
    • จ.สตูล
    • จ.สุราษฎร์ธานี

    โอนเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท รอบที่ 9 วันไหน

    • วันที่ 13 ม.ค. 68
    • ประชาชนในพื้นที่ จ.ยะลา จำนวน 13,335 ครัวเรือน

    วิธีโอนเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท

    • โอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน
    • โอนผ่านธนาคารออมสิน 2 วันทำการ
    • โอนผ่านธนาคารอื่นๆ 3 วันทำการ

    วิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท

    1. เข้าเว็บไซต์ https://flood67.disaster.go.th/HELP/Check
    2. หลังจากนั้น กรอกเลขที่บัตรประชาชนจำนวน 13 หลัก ไม่ต้องเว้นวรรค
    3. คลิก ตรวจสอบสถานะ

    อ่านเพิ่มเติม

    วิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาทวิธีเช็กสถานะเงินเยียวยาน้ำท่วม

  • อร่อยไม่เท่ากัน เมนูยอดแย่ 100 อันดับ ที่คนทั่วโลก “ไม่แนะนำ” อาหารไทยติด 4 รายการ!!!

    เช็กรายชื่อ 100 อันดับ “อาหารยอดแย่” ที่คนทั่วโลกไม่แนะนำ พบเมนูจากประเทศไทยติด 4 รายการ เมื่อคำว่าอร่อยของเราไม่เท่ากัน

    TasteAtlas เว็บไซต์ไกด์ท่องเที่ยวได้รวบรวมรายชื่อ 100 อาหารที่ได้รับคะแนนการจัดอันดับ “ต่ำที่สุด” จากผู้คน นักชิม หรือนักวิจารณ์ทั่วโลก โดยรวบรวมผลจากการกดให้คะแนนเกือบ 600,000 ครั้ง

    ซึ่งจานที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ BLODPLAT (บลัดพาลท์) หรือเกี๊ยวจากประเทศฟินแลนด์ ทำจากแป้งไรย์หรือแป้งบาร์เลย์ที่ผสมกับเลือดสัตว์ ซึ่งได้รับคะแนนเพียง 1.6 ดาวจาก 5 ดาว

    ส่วนอาหารไทยที่อยู่ในรายการ “อาหารยอดแย่” มีทั้งหมด 4 เมนูคือ แกงไตปลา อันดับที่ 10 , หนอนไหม อันดับที่ 11 , ไข่ลูกเขย อันดับที่ 35 และต้มจืด อันดับที่ 63

    การจัดอันดับนี้เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของนักชิมจาก TasteAtlas แต่เว็บไซต์ยืนยันว่าสิ่งนี้ไม่ควรถูกมองเป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาหารระดับโลก โดยกล่าวว่า “จุดประสงค์ของพวกเขาคือการส่งเสริมอาหารท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม สร้างความภาคภูมิใจในอาหารดั้งเดิม และกระตุ้นความสนใจในจานอาหารที่คุณยังไม่เคยลอง”

  • หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ควรกินทุกวัน ที่ไทยมีครบ

    ควรรับประทานทุกวัน! หมอไต้หวันแนะนำ “ผักต้านมะเร็งสุดแกร่ง” ซ่อนอยู่ในครัว ป้องกันมะเร็ง 7 ชนิด

    บรอกโคลีและผักตระกูลกะหล่ำขึ้นชื่อว่าเป็น “ผักต้านมะเร็ง” แต่คุณรู้หรือไม่? ผักในครัวอย่างหัวหอม กุยช่าย กระเทียม และต้นหอม ก็มีประสิทธิภาพต้านมะเร็งไม่แพ้กัน

    แพทย์ฉุกเฉิน ดร.จาง ซื่อเหิง เผยว่า ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารกำมะถันอินทรีย์และไฟโตเคมิคอล ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร แต่ยังมีพลังต้านมะเร็งที่น่าทึ่งอีกด้วย

    ดร.จาง ซื่อเหิง ได้แชร์ผ่านช่อง YouTube ของเขาภายใต้หัวข้อ “ผักชนิดนี้คืออาวุธลับต้านมะเร็งที่ทรงพลังที่สุด มีชื่อว่ากลุ่มหินลิ้นมังกรหรือพืชตระกูลหัวหอม” เมื่อหอมหัวใหญ่ถูกหั่น จะปล่อยก๊าซกำมะถัน (SPSO) ออกมา ซึ่งเมื่อสัมผัสกับชั้นน้ำตาบนผิวดวงตา จะเกิดกรดกำมะถันในปริมาณเล็กน้อย ทำให้ดวงตาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อชะล้าง ส่วนต้นหอมก็มีผลคล้ายกัน แต่เนื่องจากมีสารดังกล่าวน้อยกว่า จึงเกิดปฏิกิริยาเบากว่า

    หัวหอม, ต้นหอม, กระเทียม และกุยช่าย ซึ่งมีกลิ่นแรงโดดเด่น มีจุดเด่นร่วมกันคืออุดมไปด้วยสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ สารเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแหล่งของกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มรสชาติ แต่อย่ารับประทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้มีกลิ่นปากได้

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผักตระกูลหอมได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะผักต้านมะเร็ง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารกำมะถันต้านมะเร็งและไฟโตนิวเทรียนต์ เช่น เควอซิทิน (Quercetin) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีศักยภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง

    ดร.จาง ซื่อเหิง ชี้ว่า จากงานวิจัยทางระบาดวิทยาขนาดใหญ่พบว่า ผู้ที่รับประทานผักตระกูลหอมในปริมาณมากทุกวัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม ลดลงอย่างชัดเจน

    กินสดหรือปรุงสุก ต่างกันอย่างไร

    สารสำคัญในหัวหอมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สารกำมะถันอินทรีย์ที่ไวต่อความร้อน และโพลีฟีนอลต้านอนุมูลอิสระ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า:

    • กินสด: ช่วยเสริมประสิทธิภาพการต้านมะเร็งสูงสุด ควรสับหัวหอมแล้วพักไว้ 10 นาทีก่อนรับประทาน
    • ปรุงสุก: ใช้น้ำมันผัดด้วยไฟอ่อน (ประมาณ 160 องศา) นาน 4-8 นาที จะช่วยปลดปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น
    • วิธีที่ดีที่สุด: สลับรับประทานทั้งแบบสดและปรุงสุก เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุด

    นอกจากนี้ กระเทียมดำเกิดจากการนำกระเทียมสดมาหมักในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ 60 องศาและความชื้นประมาณ 80% เป็นเวลาหลายสัปดาห์ งานวิจัยพบว่า กระเทียมดำมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ขณะที่กระเทียมสดมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบได้ดียิ่งกว่า

    ดร.จาง ซื่อเหิง เตือนเป็นพิเศษว่า ผักตระกูลหอมมีพิษต่อสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีสารกำมะถัน DPDS ซึ่งอาจทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นโรคโลหิตจาง และในกรณีรุนแรงอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการหายใจล้มเหลวได้ เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการให้อาหาร และระมัดระวังไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ขณะหั่นผัก