KUBET – กูรูเมืองนอก เตือน อาหาร 6 ชนิด อย่าแช่ “ช่องฟรีซ” เพราะไม่ต่างกับการทิ้งลงถังขยะ

ช่องแช่แข็งในตู้เย็นไม่ใช่ที่เก็บอาหารได้ทุกชนิด อาหารบางอย่างหากนำไปแช่ในนี้จะทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ หรือบางครั้งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย

ช่องแช่แข็งในตู้เย็น หรือที่หลายคนเรียกว่า ช่องฟรีซ เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการเก็บรักษาอาหาร ช่วยลดการเดินตลาดบ่อยครั้ง และป้องกันการสูญเสียอาหารอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่อาหารทุกชนิดที่จะเหมาะกับการแช่แข็ง

เชฟชอว์น มาติเยวิช ผู้สอนที่สถาบันการศึกษาด้านอาหารนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อธิบายว่า น้ำในอาหารจะขยายตัวเมื่อถูกแช่แข็งจนเย็นจัด เกิดเป็นผลึกน้ำแข็งที่อาจทำลายโครงสร้างของเซลล์อาหาร ทำให้เมื่ออาหารละลาย กลายเป็นของนุ่มเละ รสชาติหายไป มีน้ำแยกออกมา และที่สำคัญคือสูญเสียสารอาหาร อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย พร้อมกันนั้นยังเป็นการใช้ไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

ต่อไปนี้คือ 6 ประเภทอาหารที่หลายคนคุ้นเคย แต่หากไม่อยากเสียทั้งแรงเก็บรักษาและเงินทอง ควรหลีกเลี่ยงการแช่แข็ง

1. ผักใบเขียวและสมุนไพรสด

ผักบางชนิด เช่น ผักสลัด ผักโขม ผักชี หรือโหระพา จะเน่าเสียง่ายเมื่อแช่แข็งโดยตรง เพราะโครงสร้างของผักเหล่านี้บางและเปราะบาง เมื่อโดนความเย็นจัด น้ำแข็งที่เกิดขึ้นจะทำลายเนื้อเยื่อผัก ทำให้ผักเหี่ยวเละ เปลี่ยนเป็นสีดำ และสูญเสียความสดกรอบหลังละลาย อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย

โดยเฉพาะวิตามินส่วนใหญ่ที่ไวต่ออุณหภูมิจะถูกทำลายไปด้วย หากจำเป็นต้องเก็บรักษานาน ควรลวกผักในน้ำร้อนก่อน แล้วรีบนำไปแช่เย็น หรือจะบดผสมกับน้ำมันมะกอกเพื่อทำเป็นซอสปรุงอาหารแทนก็ได้

2. ไข่ที่ยังไม่แกะเปลือก

การนำไข่ที่ยังมีเปลือกไปแช่ช่องแช่แข็งเป็นความผิดพลาดที่พบบ่อย เพราะเมื่อน้ำภายในไข่แข็งตัวและขยายตัว จะทำให้เปลือกแตกร้าว เปิดโอกาสให้แบคทีเรียเข้าสู่ไข่ได้ง่าย

เมื่อไข่ละลาย ไข่แดงมักเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อแป้งและยากต่อการปรุงอาหาร หากไม่สังเกตเห็นรอยร้าว อาจเผลอรับประทานไข่ที่ปนเปื้อนแบคทีเรีย ทำให้เสี่ยงติดเชื้อซัลโมเนลล่า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาหารเป็นพิษ มีอาการปวดท้อง ไข้ และท้องเสียเรื้อรัง

3. ชีสเนื้อนุ่ม

ชีสประเภทครีมชีส ริคอตต้า หรือบริ มีลักษณะเนื้อละเอียดและมีความชื้นสูง เมื่อนำไปแช่แข็งแล้วละลาย ชีสจะเกิดการแยกน้ำ เป็นก้อน และเสียรสชาติ ไม่เพียงแต่รสชาติเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ชีสที่แยกชั้นยังเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย หากเก็บรักษาไม่มิดชิด

การบริโภคชีสที่เปลี่ยนสภาพแล้วอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด คลื่นไส้ หรือในบางกรณีเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียที่สร้างสารพิษได้ด้วย

4. ผลไม้และผักที่มีน้ำสูง

เช่น มะเขือเทศ แตงกวา องุ่น ส้ม หรือแตงโม มีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก เมื่อนำไปแช่แข็ง น้ำในเนื้อจะกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง ทำลายโครงสร้างเซลล์ ทำให้ผลไม้และผักเหล่านี้กลายเป็นเนื้อเละและมีน้ำออกมาเมื่อละลาย

หากรับประทานในสภาพสด ผลไม้ที่เปลี่ยนสภาพจะมีกลิ่นแปลก รสเปรี้ยวเล็กน้อย หรือความรู้สึกเหนียว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาหารเริ่มเน่าเสียหรือมีเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต

การบริโภคผลไม้หรือผักที่เน่าเสียอาจเสี่ยงทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียที่เจริญเติบโตในสภาพการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม

5. ผลิตภัณฑ์จากนมและครีมบางชนิด

เช่น โยเกิร์ต ครีมสด (heavy cream) ที่ไม่มีสารเสริมความคงตัว หรือซอสมายองเนส เมื่อแช่แข็งจะเกิดการแยกน้ำ กรดขึ้น และเสียโครงสร้าง หลังละลายจะมีลักษณะเหลวเหมือนน้ำ มีกลิ่นผิดปกติหรือรสเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณของการหมักบ่มที่ไม่ควบคุม

หากบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่เน่าเสีย อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ มีอาการท้องอืด และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในลำไส้ โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ

6. อาหารทอด

เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ หรือปอเปี๊ยะทอด หากนำไปแช่ช่องแช่แข็งจะดูดความชื้นและเสียความกรอบ เมื่ออุ่นซ้ำจะกลายเป็นเหนียวและเละ น้ำมันในอาหารจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนมีกลิ่นเหม็น และอาจสร้างสารพิษอย่างอะคริลาไมด์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งหากบริโภคบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ อาหารทอดที่เก็บในช่องแช่แข็งนาน ๆ ยังเสี่ยงสะสมแบคทีเรีย หากการแช่แข็งไม่ลึกพอหรือการละลายผิดวิธี ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *