Blog

  • KUBET – 9 จังหวัดที่ดินราคาถูก แต่มีแนวโน้มราคาพุ่งเร็วๆ นี้ เหมาะสำหรับ “ซื้อเก็งกำไร!”

    9 จังหวัดที่ดินราคาถูก แต่มีแนวโน้มพุ่งแรงในอนาคต เหมาะสำหรับนักลงทุนเก็งกำไร

    สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการซื้อที่ดินราคาถูกเพื่อ เก็งกำไร หรือเตรียมไว้ ปลูกบ้านพักหลังเกษียณ ข้อมูลนี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเรารวบรวม 9 จังหวัดที่ดินราคายังถูก แต่มีแนวโน้มเติบโตแรงในอนาคต จากข้อมูลราคาประเมินและแผนพัฒนาในระดับประเทศ

    3 จังหวัดทำเลทอง ใกล้กรุงเทพฯ ราคาพุ่งแรงในปี 2568

    • นครปฐม
    • สมุทรสาคร
    • ปทุมธานี

    ทั้ง 3 จังหวัดนี้นับว่าเป็นทำเลทองของนักลงทุนอสังหาฯ เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มีโครงสร้างพื้นฐานดี การเดินทางสะดวก และมีการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง ราคาที่ดินพุ่งแรงในปี 2568 และยังมีโอกาสเติบโตอีกในอนาคต

    จังหวัดที่ดินถูกมาก แต่ศักยภาพสูง พร้อมโตได้ในระยะยาว

    • อุทัยธานี
    • พิจิตร
    • กำแพงเพชร
    • เพชรบูรณ์
    • อำนาจเจริญ
    • บึงกาฬ

    จังหวัดเหล่านี้มีราคาประเมินที่ดินเริ่มต้นต่ำมาก บางพื้นที่อยู่ที่เพียง ไม่ถึง 100 บาทต่อตารางวา เท่านั้น แม้จะยังไม่เป็นพื้นที่พัฒนาเต็มรูปแบบ แต่เริ่มมีโครงการภาครัฐและเอกชนเข้ามาพัฒนา ทั้งในด้านการคมนาคม การท่องเที่ยว และการขยายเขตเศรษฐกิจ

    ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “ที่ดินราคาถูก” กลายเป็น “ทรัพย์ทำกำไร”

    • พื้นที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่มีแผนลงทุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
    • จำนวนประชากรวัยแรงงานและกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มกระจุกตัวมากขึ้น
    • บางจังหวัดกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาค หรือแหล่งท่องเที่ยวใหม่
    • ราคาที่ดินยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ ทำให้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ

    สรุป: ที่ดินราคาถูกวันนี้ อาจกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในวันหน้า

    หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ การเลือกซื้อที่ดินในจังหวัดที่ยังไม่ถูกจับตามอง อาจเป็นก้าวแรกที่ชาญฉลาด โดยเฉพาะใน นครปฐม สมุทรสาคร และปทุมธานี ที่ราคาพุ่งแรงแล้วในปี 2568 หรือจะมองหาจังหวัดที่ดินถูกแต่มีอนาคตไกลอย่าง อุทัยธานี และ กำแพงเพชร ก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกที่น่าจับตามอง

    อ้างอิงข้อมูล:

  • KUBET – เมียเป็นลมในห้องน้ำ ผัวจะโทรเรียกหมอ สิ่งที่เห็นใน “มือถือ” ทำให้ช็อกยิ่งกว่า

    เมียเป็นลมในห้องน้ำ ผัวใช้โทรศัพท์ของเมียเรียกรถพยาบาล แต่กลับเจอความลับทั้งชีวิตที่เธอไม่เคยบอก

    ชายคนหนึ่งในเวียดนามเผยเรื่องราวสะเทือนใจ หลังภรรยาหมดสติในห้องน้ำ และเขาจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ของเธอเรียกรถพยาบาล เพราะโทรศัพท์ของตนแบตหมด แต่เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา กลับพบสิ่งไม่คาดฝันที่เปลี่ยนชีวิตคู่ไปตลอดกาล

    เหตุการณ์เกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ขณะชายหนุ่มกำลังจะออกไปทำงาน เขาได้ยินเสียงดังจากห้องน้ำจึงรีบเข้าไป พบว่าภรรยานอนหมดสติ ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก เขารีบอุ้มเธอขึ้นมาและหยิบโทรศัพท์ของเธอเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ ด้วยความโชคดีที่เครื่องยังไม่ล็อก เขาสามารถเข้าถึงโทรศัพท์ได้ทันที

    แต่สิ่งแรกที่ปรากฏบนหน้าจอ คือชื่อผู้ติดต่อที่ถูกบันทึกไว้ว่า “คนสำคัญ” ซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าอาจเป็นบุคคลที่ภรรยาปิดบัง และอาจเกี่ยวข้องกับการนอกใจ

    หลังจากเจ้าหน้าที่แพทย์มาถึงและให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ภรรยาจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากภาวะขาดแคลเซียมและโลหิตจาง ระหว่างที่เธอหลับพักผ่อน ความสงสัยยังคงตามหลอกหลอนชายหนุ่ม เขาจึงตัดสินใจตรวจสอบข้อความในโทรศัพท์เพิ่มเติม

    สิ่งที่พบคือบทสนทนากับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็น “แม่แท้ ๆ ” ขัดแย้งกับข้อมูลที่เขาเคยได้รับว่าแม่ของภรรยาเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี

    เมื่อภรรยาฟื้น เขานำเรื่องทั้งหมดมาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ภรรยานิ่งอยู่นาน ก่อนกล่าวว่า “พี่มีสิทธิ์รู้ แต่รู้แล้ว พี่ยังอยากอยู่กับหนูอยู่ไหม?”

    จากนั้นเธอจึงเปิดเผยความจริงว่า ตนไม่ใช่ลูกของพ่อแม่บุญธรรมอย่างที่เคยเล่า แต่เกิดในเรือนจำ และถูกรับไปเลี้ยงตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เธอเลือกปิดบังเรื่องนี้เพราะกลัวจะสูญเสียทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้น รวมถึงกลัวว่าครอบครัวฝ่ายชายจะรังเกียจ

    “หนูไม่ได้ทรยศพี่ หนูแค่กลัวจะสูญเสียชีวิตที่ดีที่หนูพยายามมีมันขึ้นมา” เธอกล่าวทั้งน้ำตา

    ชายหนุ่ม เล่าว่า แม้จะรู้สึกผิดหวังที่ถูกปิดบัง แต่เขาไม่สามารถโกรธหรือเกลียดภรรยาได้ เพราะสิ่งที่เขารักไม่ใช่ที่มาของเธอ แต่เป็นหัวใจที่เข้มแข็งและความตั้งใจในการใช้ชีวิตอย่างสุจริตของเธอต่างหาก

    เขาตัดสินใจให้อภัยและเดินหน้าต่อไปกับภรรยา พร้อมดูแลเธอให้พร้อมสำหรับการมีลูกในอนาคต

    “บางความลับไม่ได้เกิดจากการทรยศ แต่เกิดจากความกลัวและความรักที่อยากปกป้อง บางคนมีอดีตที่มืดมน แต่ทั้งชีวิตพยายามเดินไปสู่แสงสว่าง” เขากล่าว

    แต่สิ่งที่ยังค้างคาใจคือ เขาควรเปิดเผยเรื่องนี้กับครอบครัวหรือไม่ เพราะเกรงว่าหากความลับถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจเหมือนที่เขาเคยเจอ ภรรยาอาจถูกเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวของเขาให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีอย่างมาก

    เขาทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ “ผมควรบอกพ่อแม่ดีไหม?”

  • KUBET – ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต! ผัก 1 ชนิดที่คนไทยมองข้าม โปรตีนมากกว่าถั่วเหลืองถึง 6 เท่า

    ผัก 1 ชนิดถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต” แต่คนไทยมองข้าม ทั้งที่มีโปรตีนมากกว่าเมล็ดถั่วเหลืองถึง 6 เท่า กลับใช้แค่เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่

    ผักชนิดนี้ถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต” ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่น่าทึ่ง

    โดยทั่วไปแล้ว ถั่วเหลืองถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ตามข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ โปรตีนในถั่วเหลืองมีมากกว่าทั้งในเนื้อวัวและเนื้อหมู ในเนื้อวัว 100 กรัมมีโปรตีนประมาณ 26 กรัม, เนื้อหมูมีประมาณ 27 กรัม ส่วนถั่วเหลืองให้โปรตีนถึง 36 กรัมต่อ 100 กรัม

    แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวาเคอนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ค้นพบว่ามีพืชอีกชนิดหนึ่งซึ่งให้โปรตีนสูงกว่าถั่วเหลืองถึง 6 เท่า และเป็นพืชที่คนไทยมักใช้เลี้ยงหมูหรือไก่เท่านั้น นั่นก็คือ “แหน”

    แหน – ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต

    ตามรายงานจาก New Atlas แหนถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต” เนื่องจากมีสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ โดยในน้ำหนักของแหน 100% ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 35% แร่ธาตุ 20% และโปรตีนสูงถึง 40%

    Muhammad Saidul Islam

    มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า โปรตีนในแหนเป็นโปรตีนสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึงมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิดที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากนี้ แหนยังอุดมไปด้วยใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ ธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามิน B12 ซึ่งพบได้น้อยมากในพืช

    ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Diabetes Care ยังพบว่า แหนช่วยควบคุมและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

    เว็บ FoodTimes อ้างถึงงานวิจัยในสัตว์ทดลองที่ชี้ว่า แหนช่วยเสริมธาตุเหล็กและบรรเทาอาการขาดธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากคุณประโยชน์ทางสุขภาพแล้ว แหนยังปลอดโรคแมลงศัตรูพืชและไม่ต้องใช้ปุ๋ย อีกทั้งยังเป็นพืชน้ำที่ไม่แย่งพื้นที่ทำกินกับพืชอื่น สามารถปลูกอย่างยั่งยืนในถาดน้ำสะอาดภายในโรงเรือนหรือฟาร์มต่าง ๆ ได้

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวาเคอนิงเงิน ระบุว่า แหนมีรสชาติคล้ายถั่วบางชนิด บางคนบรรยายว่าแหนมีรสค่อนข้างมัน กรุบกรอบ และกลิ่นรสใกล้เคียงกับผักโขม

    แหน – ใช้เป็นอาหารในหลายประเทศทั่วโลก

    แหนเป็นผักพื้นเมืองที่เติบโตตามธรรมชาติในแหล่งน้ำจืด เช่น บ่อ สระ และพื้นที่ชุ่มน้ำในหลายประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ ไทย ลาว จีน อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา เป็นต้น มานานแล้ว ชาวบ้านในบางประเทศอย่างไทย กัมพูชา และลาว นิยมนำแหนมาใช้เป็นผักรับประทานในเมนูต่าง ๆ

    Wageningen University & Research

    ที่อิสราเอล สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา แหนถูกนำไปแปรรูปเป็นผงโปรตีน นมจากพืช เส้นบะหมี่เจ เพสโต้ และราไวโอลี่ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพ

    ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 หน่วยงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ได้อนุมัติให้แหนเข้าสู่รายชื่อผักสดและผักแปรรูปในสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ

    ที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ สารประกอบฟลาโวนอยด์และอัลคาลอยด์จากแหนถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ

    ปัจจุบัน โรงงานนำร่องเบื้องต้นบางแห่งในอิสราเอลและเนเธอร์แลนด์ กำลังพยายามผลิตผักตบชวาในระดับอุตสาหกรรม

  • KUBET – แพทย์ชี้ช่อง 3 สมบัติต้านมะเร็ง อาหารที่ผู้ป่วยกินแล้ว “หายขาด” โรคไม่กลับมาเป็นซ้ำ!

    กินกระเทียมวันละนิด พิชิตมะเร็ง! ชายวัย 67 หายจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่กลับมาเป็นซ้ำ แพทย์เปิดเพิ่มอาหาร 3 กลุ่ม อร่อยและต้านโรคได้

    แพทย์แนะ “กระเทียม” ผักกลิ่นแรงแต่ประโยชน์แรงกว่า ถูกยกให้เป็น “แชมป์ผักต้านมะเร็ง” โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ล่าสุดกรณีศึกษาจริงจากแพทย์ชาวไต้หวัน เผยผู้ป่วยชายวัย 67 ปีรอดชีวิตจากมะเร็ง ไม่กลับมาเป็นซ้ำหลังจากเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หันมาบริโภคกระเทียมเป็นประจำ

    นพ.เจียง โซ่วซาน แพทย์เฉพาะทางด้านโรคไต เปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์ของไต้หวันว่า เขาเคยพบผู้ป่วยชายวัย 67 ปี ที่มาพบแพทย์เพราะโรคไตระยะที่ 3 แต่กลับตรวจพบก้อนแข็งที่บริเวณลำคอโดยบังเอิญ เมื่อตรวจอย่างละเอียดและส่งตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลใหญ่ ก็พบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

    ตรวจเจอโดยบังเอิญ สู่การรักษาที่มากกว่าคีโม เนื่องจากหลังเข้ารับเคมีบำบัด (chemotherapy) หนึ่งรอบ แพทย์ได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะการเพิ่มการบริโภคอาหารต้านมะเร็ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “กระเทียม” ที่ผู้ป่วยชื่นชอบอยู่แล้ว และนำมาสู่ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง ผ่านไป 1 ปีครึ่ง อาการไม่กลับมาเป็นซ้ำ

    กระเทียม ต้านมะเร็งอันดับ 1 ครอบจักรวาล

    ดร.เจียง อธิบายว่า กระเทียมแม้จะมีกลิ่นแรง แต่เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารประกอบซัลเฟอร์อินทรีย์ (organic sulfur compounds) ที่สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง การสร้างเส้นเลือดใหม่ และการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กรดฟีนอล, ฟลาโวนอยด์ (รวมถึงเควอซิติน, อะปิเจนิน, มายริซิติน), วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ

    โดยจากงานวิจัยและประสบการณ์ของแพทย์ พบว่า กระเทียมมีประสิทธิภาพสูงสุดในการยับยั้งมะเร็งหลากหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งสมอง, มะเร็งปอด, มะเร็งในเด็ก, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่สำหรับมะเร็งไต กระเทียมก็ยังจัดอยู่ในอันดับสองของอาหารที่ช่วยยับยั้งได้ดีที่สุด

    3 กลุ่มอาหารต้านมะเร็งที่ควรมีติดครัว

    นอกจากกระเทียมแล้ว นพ.เจียง ยังได้แนะนำ “สุดยอดอาหารต้านมะเร็ง 3 กลุ่ม” ที่สามารถกินในชีวิตประจำวัน ได้แก่

    • ผักต้านมะเร็ง 3 อันดับแรก: กระเทียม, ผักในกลุ่มหัวหอม เช่น ต้นหอม หอมแดง, ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี

    • ผลไม้ต้านมะเร็ง 3 อันดับแรก: แครนเบอร์รี่สด, มะนาว, แอปเปิ้ลพร้อมเปลือก

    • ถั่วเปลือกแข็งต้านมะเร็ง 3 อันดับแรก: พีแคน, วอลนัท, ถั่วลิสง

    จะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแค่เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดเท่านั้น แต่ยังสามารถต่อสู้กับมะเร็งได้ด้วยพฤติกรรมการกินที่ดี โดยเฉพาะการเสริมอาหารจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง เช่น กระเทียม ผัก ผลไม้ และถั่วบางชนิด ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการกลับมาของโรคร้ายในระยะยาว

  • KUBET – หล่อเกิ๊น “น้องฑีฆายุ” กับภาพแห่งความสำเร็จ “แอนนี่ บรู๊ค” โพสต์เพราะอยากให้ใครสักคนผ่านมาเห็น

    เติบโตอย่างมีคุณภาพจริงๆ สำหรับ น้องฑีฆายุ ลูกชายสุดที่รักของคุณแม่ แอนนี่ บรู๊ค ซึ่งล่าสุด แม่ ได้โพสต์ภาพลูกชายลงอินสตาแกรม กับรางวัลของความพยายามของ น้องฑีฆายุ และยังบอกด้วยว่า portfolio ที่แม่ลงนักหนาไม่ใช่เพื่ออวดแต่เพื่อให้ใครสักคนได้ผ่านมาเห็นซึ่งแม่พูดมาตลอด

    แต่โมเมนต์นี้นอกจากจะดูที่ความเก่งความสำเร็จแล้ว ก็อดโฟกัสความหล่อของ น้องฑีฆายุ ไม่ได้จริงๆ ความหล่อเพิ่มขึ้ยตามวัยจริงๆ ซึ่ง แอนนี่ ได้เขียนแคปชั่นไว้ว่า

    “รางวัลของควาพยายามงดงามเสมอ

    – วันนี้ โรงเรียนนานาชาติสาธิตคริสเตียนนนทบุรี ( ICSN)โรงเรียนนานาชาติระดับอินเตอร์ เปิดประตูให้น้อง ฑีฆายุในฐานะ..Ambassador.

    – โรงเรียนอินเตอร์ที่มีคุณภาพเพราะนักเรียน คือครอบครัวและคนสำคัญ.

    – เบื้องหลังของความสำเร็จของเด็กคนหนึ่งไม่ใช่แค่พรสวรรค์แต่มันคือความตั้งใจและมุ่งมั่น.

    – portfolio ที่แม่ลงนักหนาไม่ใช่เพื่ออวดแต่เพื่อให้ใครสักคนได้ผ่านมาเห็นซึ่งแม่พูดมาตลอด.

    – ครั้งแล้วครั้งเล่า แสงเล็กๆที่เด็กคนหนึ่งจุดมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง วันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว.

    – ในฐานะคนเป็นแม่ไม่มีอะไรล้ำค่าไปกว่าได้เห็นลูกเติบโตในที่ที่เห็นคุณค่าของเขาและความตั้งใจของแม่.

    – ขอส่งต่อแรงบันดาลใจนี้ให้กับทุกบ้าน… ที่ยังมีลูกๆที่มีความฝัน มุ่งมั่น พยายาม และมีพ่อแม่ที่ยังต่อสู้และเคียงข้างพวกเค้า

    – โอกาสไม่ได้เกิดจากโชคเสมอไป… บางทีมันคือผลของใจที่ไม่ยอมแพ้”

  • KUBET – กินแค่คำเดียว หนุ่มวัย 25 ถึงขั้นไตวาย หมอเตือน 2 ผักที่ “มีรสขม” ต้องทิ้งทันที!!!

    หนุ่มจีนวัย 25 ไตวายเฉียบพลันหลังทานบวบ 2 ชิ้น แพทย์เตือน “2 ผักรสขมต้องเลี่ยงเด็ดขาด” พร้อมแนะล้างเขียง-มีดให้สะอาด

    สื่อจีนรายงานเหตุการณ์เตือนภัยสุขภาพ หลังชายหนุ่มวัย 25 ปีจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันและอาการช็อก หลังทานผักซึ่งมีรสขมผิดปกติ เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น แพทย์ชี้เป็นพิษจากสารธรรมชาติในพืชตระกูลบวบ เตือนประชาชนให้ระวังและหลีกเลี่ยงผักผลไม้รสขม โดยเฉพาะในกลุ่มพืชตระกูลบวบ

    ชายหนุ่มรายนี้ นามสมมุติว่า “เสี่ยวหวี่” ซื้อฟักน้ำเต้ามาทั้งหมด 3 ลูก และได้ปรุง 2 ลูกแรกกินไปโดยไม่พบความผิดปกติ แต่ในช่วงเที่ยงของวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เขาได้นำลูกสุดท้ายมาปรุงอาหาร และพบว่าชิ้นแรกมีรสชาติ “ขมผิดปกติ” จากนั้นไม่นานก็เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ปวดท้อง และท้องเสีย จึงรีบขับรถไปโรงพยาบาล

    แม้จะได้รับการรักษาเบื้องต้นและได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับเขาหมดสติถึง 2 ครั้ง ทำให้รถเสียหลักชนกับราวเหล็กกั้นถนน หลังกลับถึงบ้านก็หมดสติอีกครั้งในเวลากลางคืน ครอบครัวต้องนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ผลตรวจทางการแพทย์พบว่า เสี่ยวหวี่มีอาการช็อก ระดับกรดแลคเตตในเลือดพุ่งสูง เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุล และภาวะไตวายเฉียบพลัน

    สารพิษจาก “บวบขม” ภัยร้ายที่หลายคนมองข้าม

    ดร.ซู หลง (Dr. Xu Long) รองหัวหน้าแผนกโภชนาการ โรงพยาบาลเจ้อเจียง ระบุว่า ต้นเหตุของอาการทั้งหมดคือ “บวบขม” ซึ่งมีสารชื่อคูคูร์บิตาซิน (Cucurbitacin) เป็นสารขมธรรมชาติในพืชตระกูลบวบ เช่น บวบ มะระ น้ำเต้า เป็นต้น

    แม้ว่าบวบทั่วไปจะปลอดภัยและนิยมรับประทานกันมากในฤดูร้อน แต่มีประมาณ 8% ที่อาจสะสมสารขมนี้ในระดับสูง อันเนื่องมาจากพันธุกรรม สภาพอากาศ แสงแดด หรือความเครียดจากสภาพแวดล้อมการปลูก

    สารคูคูร์บิตาซิน สามารถก่อให้เกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหารและระบบประสาท อาการเบื้องต้นอาจรวมถึง ปากแห้ง เวียนหัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และง่วงนอน ในกรณีรุนแรงอาจเกิดอาเจียนรุนแรง ปวดท้อง ท้องเสีย มีเลือดปน และเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและไตวาย

    แพทย์แนะนำว่า ก่อนปรุงอาหารด้วยบวบ ให้ลองชิมรสที่ปลายลิ้น หากพบว่ามีรสขมแม้เพียงเล็กน้อย ให้ทิ้งทันที ห้ามรับประทานแม้แต่คำเดียว และควรล้างมีด เขียง และภาชนะที่สัมผัสกับบวบขมนั้นให้สะอาดอย่างละเอียด เพื่อลดความเสี่ยงการปนเปื้อน

    ผักสองชนิดที่มีการเตือนว่า ห้ามกินหากมีรสขม

    1. ฟักน้ำเต้าขม

    2. พืชตระกูลฟักบวบอื่นๆ ที่ไม่ควรขม แต่เกิดขมผิดปกติ (เช่น ฟักทอง, บวบ, แตงกวา, แตงร้าน, สควอซบางชนิด)

    บวบขมไม่ใช่มะระ! อย่าสับสน ผู้คนจำนวนมากอาจสับสนระหว่าง “บวบขม” กับ “มะระ” ซึ่งมะระมีรสขมตามธรรมชาติและปลอดภัยหากปรุงสุก ในขณะที่บวบและผลไม้ตระกูลบวบอื่นๆ เช่น น้ำเต้า หรือฟัก ถ้ามีรสขม แสดงว่ามีสารพิษสะสม และควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

    แม้ผักทั้งสองชนิดข้างต้นจะเป็นพืชตระกูลบวบและโดยทั่วไปไม่มีอันตรายเมื่อรับประทาน แต่หากมีรสขมผิดปกติ แสดงว่าอาจมีสารพิษที่ชื่อว่าคูคูร์บิตาซิน (Cucurbitacin) ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ช็อก และถึงขั้นไตวายเฉียบพลันได้

    ทั้งนี้ หากรับประทานเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ และเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของพิษจากสารคูคูร์บิตาซิน ซึ่งอาจลุกลามรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว

    ดร.ซูยังเน้นว่า ความเข้าใจผิดว่าผักขมช่วย “ถอนพิษ” หรือ “ลดความร้อนในร่างกาย” อาจทำให้เกิดอันตรายได้อย่างรุนแรง

  • KUBET – รู้จัก “พืชแห่งความอมตะ” ผักพื้นบ้านประโยชน์ล้ำ ต้นไม้ข้างทางที่เป็นขุมทรัพย์สุขภาพ

    รู้จัก “พืชแห่งความอมตะ” มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ในไทยคือผักพื้นบ้านที่คุ้นเคย ขุมทรัพย์สุขภาพที่ซ่อนอยู่ตามป่าข้างทาง

    ผักโขม (Amaranth) ผักพื้นบ้านที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน แม้จะถูกมองข้ามจากคนรุ่นใหม่ แต่ความจริงแล้วผักโขมคือแหล่งสารอาหารอันทรงคุณค่า จนได้รับฉายาว่า “พืชแห่งความอมตะ” สมัยกรีกโบราณ ผักโขม หรือ amaranth เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าผักโขมมีฤทธิ์ในการเยียวยา และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ มีการใช้ภาพของใบผักโขมในการประดับที่อยู่ของพระเจ้าและหลุมศพต่าง ๆ 

    ผักโขม  (Amaranth) ในไทยมักจะถูกเข้าใจผิดหรือแปลผิดว่าเป็นผักที่ป๊อบอายใช้เพิ่มพลัง ความจริงแล้วผักนั้นคือผักปวยเล้ง (spinach) ซึ่งในการ์ตูนป๊อบอายจะปรากฏการใช้คำว่า spinach อย่างชัดเจน

    ผักโขม เป็นผักที่ขึ้นได้ทั่วไปตามแหล่งธรรมชาติ เช่น ริมทาง ป่าละเมาะ ป่ารกร้าง สวนผักผลไม้ของชาวไร่ชาวนา เป็นต้น ในบ้านเราผักโขมนั้นมีอยู่หลากหลายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารได้แก่ ผักโขม ผักโขมสวน ผักโขมหัด ผักโขมหนาม เป็นต้น ผักโขมมีชื่ออื่นๆ อีกคือ ผักขม (กลาง), ผักโหม, ผักหม (ใต้), ผักโหมเกลี้ยง (แม่ฮ่องสอน), กระเหม่อลอเตอ (กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน)

    สารอาหารสำคัญในผักโขม

    ผักโขมอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย ทั้งในใบและลำต้น เช่น

    • วิตามิน A, C, K, โฟเลต

    • แร่ธาตุ: แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส, สังกะสี, ทองแดง, แมงกานีส

    • โปรตีนจากพืช พร้อมกรดอะมิโนไลซีน

    • ไฟเบอร์จากพืช

    • สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ แอนโทไซยานิน และแคโรทีน

    ประโยชน์ของผักโขมต่อร่างกาย

    1. บำรุงหัวใจ : โพแทสเซียมในผักโขมช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด

    2. ควบคุมน้ำหนัก : แคลอรีต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และส่งเสริมการขับถ่าย

    3. ป้องกันโลหิตจาง : มีธาตุเหล็กและวิตามิน C สูง ช่วยสร้างเฮโมโกลบิน ป้องกันโรคโลหิตจาง เพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะในผู้หญิง พร้อมวิตามิน E และโฟเลตที่ช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวชุ่มชื้น สดใส

    4. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : มีสารธรรมชาติที่ช่วยลดระดับน้ำตาล และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาล

    5. เสริมกระดูกให้แข็งแรง : อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามิน K ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยบำรุงข้อ

    6. ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร : ไฟเบอร์ในผักโขมช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น ป้องกันท้องผูก ท้องอืด และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้

    7. ต้านอักเสบและมะเร็ง : โดยเฉพาะผักโขมแดงที่มีแอนโทไซยานิน ช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

    8. บำรุงเหงือกและฟัน : แคลเซียมและวิตามิน C ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ฟัน และเหงือก ป้องกันฟันโยกหรือเลือดออกตามไรฟัน

    คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)

    • แคลเซียม: 215 มิลลิกรัม (มากกว่านมวัว)

    • ธาตุเหล็ก: 4.6 – 8.5 มิลลิกรัม

    • โปรตีน: 1.9 – 2.6 กรัม (พร้อมกรดอะมิโนจำเป็น)

    ข้อควรระวังในการรับประทานผักโขม

    • ผักโขมมีออกซาเลตสูง หากรับประทานมากเกินไป อาจก่อให้เกิดนิ่วในไต

    • ควรลวกหรือนึ่งก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อลดปริมาณออกซาเลต

    • หลีกเลี่ยงการรับประทานร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม เพราะอาจเกิดการตกตะกอน

    • ควรรับประทานภายในวันเดียว ไม่ควรเก็บไว้นานเกินไป

    • ผู้ที่มีอาการท้องเสีย ท้องอืด หรือม้ามอ่อน ควรหลีกเลี่ยง เพราะผักโขมมีฤทธิ์เย็น

       

  • KUBET – แอร์อินเดียตก ผู้โดยสาร 1 คน รอดปาฏิหาริย์ อึ้งตำแหน่งที่นั่งบนเครื่อง ล้างทุกทฤษฎี!

    เครื่องบินแอร์อินเดียตก พุ่งชนหอพักนศ.แพทย์ ผู้โดยสารที่นั่ง 11A รอดชีวิตปาฏิหาริย์! เดินออกมาจากซากเครื่องบินด้วยตัวเอง เล่านาทีชีวิต

    เรื่องราวสุดเหลือเชื่อเกิดขึ้นหลังเครื่องบินแอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI171 ประสบอุบัติเหตุตกในเมืองอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความสูญเสียของผู้โดยสาร 241 คน กลับมีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากซากเครื่องบินได้ด้วยตัวเอง

    เขาคือ Vishwash Kumar Ramesh ชายสัญชาติอังกฤษเชื้อสายอินเดีย วัย 40 ปี ซึ่งนั่งอยู่ที่ ที่นั่ง 11A ใกล้ประตูฉุกเฉิน เหนือปีกซ้ายของเครื่องบิน

    “แค่ 30 วินาทีหลังจากเครื่องขึ้น ก็มีเสียงดังสนั่น แล้วก็เกิดเหตุทันที ทุกอย่างเร็วมาก” Ramesh ให้สัมภาษณ์จากโรงพยาบาล

    Ramesh กำลังเดินทางกลับสหราชอาณาจักรพร้อมกับน้องชาย หลังมาเยี่ยมญาติที่อินเดีย

    ปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ

    Ramesh เดินออกจากซากเครื่องบินในสภาพเลือดเปื้อนเสื้อ และโทรแจ้งครอบครัวว่าเขาปลอดภัย ญาติของเขาเผยว่า “แม้จะดีใจที่เขารอด แต่ก็เศร้ากับการสูญเสียคนอื่น ๆ รวมถึงน้องชายของเขา”

    แพทย์จากโรงพยาบาลพลเมืองอาห์เมดาบัดระบุว่า อาการของเขาไม่สาหัส มีเลือดออกภายในเล็กน้อย และอาจออกจากโรงพยาบาลได้ในไม่กี่วัน

    เครื่องบินตก

    ที่นั่งแห่งปาฏิหาริย์

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางการบินให้ข้อมูลว่า ตำแหน่งที่ Ramesh นั่งอยู่นั้น โดยปกติแล้ว “เป็นจุดที่แรงกระแทกรุนแรงมาก โอกาสรอดมีน้อยมาก” จึงถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เขารอดมาได้

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษจากเขต Leicester East กล่าวว่า “มันคือปาฏิหาริย์จริง ๆ”

    โดยก่อนหน้านี้ รายงานจากสำนักงานความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐ (NTSB) ได้ทำการศึกษาการประสบอุบัติเหตุทางอากาศ 20 ครั้ง ซึ่งมีทั้งผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิต พบว่า ผู้โดยสารที่นั่งในส่วนท้ายของเครื่องบินมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 69% ในขณะที่ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจมีอัตราการรอดชีวิตเพียง 49% ข้อมูลเหล่านี้สนับสนุนข้อสรุปที่ว่า ที่นั่งส่วนท้ายของเครื่องบินมีความปลอดภัยมากกว่า

    เหตุการณ์สะเทือนใจทั่วโลก

    เครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารทั้งหมด 242 คน จากหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย สหราชอาณาจักร แคนาดา และโปรตุเกส จุดหมายคือสนามบินแกตวิก ลอนดอน แต่ต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรม

    ไม่เพียงแค่ผู้โดยสารเสียชีวิต ยังมีนักศึกษาแพทย์ในหอพักของวิทยาลัย BJ Medical College เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน หลังเครื่องบินพุ่งชนอาคารหอพักโดยตรง

    เครื่องบินตก

  • KUBET – “บอย ปกรณ์” คิดถึงสุดหัวใจ เปิดคลิป “คุณแม่งามทิพย์” ให้โชค เลขเด็ดชัดๆ

    ยังคงคิดถึงทุกลมหายใจ สำหรับพระเอกหนุ่ม บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หลังได้สูญเสีย คุณแม่งามทิพย์ ฉัตรบริรักษ์ ในวัย 68 ปี ไปอย่างไม่วันกลับ ด้วยโรคมะเร็ง

    ล่าสุด บอย ปกรณ์ ได้เผยคลิปวิดีโอขณะที่ คุณแม่งามทิพย์ เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยใจสู้และอารมณ์ดีสุดๆ พร้อมแคปชั่นคิดถึงล้นหัวใจ

    “คิดถึงเสียงแม่จังค้าบ @momomama1234 #เลขข้างหลังแม่ให้โชค”

    และเมื่อดูแฮชแท็กที่ บอย ปกรณ์ เขียนไว้ แฟนๆ หลายคนต่างก็ย้อนไปดูที่คลิปดังกล่าว ปรากฏเป็นเลขห้อง 7307 ทำเอาคอหวยแอบจดเลขดังกล่าวไว้เสี่ยงโชคในงวดประจำวันที่ 16 มิ.ย. 68 อีกด้วยจ้า

  • KUBET – รู้หรือไม่ “ปลา” ที่ครองแชมป์ DHA แซลมอนยังอยู่อันดับ 6 แล้วท็อป 5 ที่เหนือกว่าคืออะไร?!

    นักโภชนาการเผย “ปลาแมคเคอเรล” ครองแชมป์ปลาที่มี DHA สูงสุด ไม่ใช่ปลาแซลมอนอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด

     

    DHA มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพสมอง หัวใจ และการพัฒนาทางสติปัญญา โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ แต่ที่น่าทึ่งคือ ปลาที่มี DHA สูงสุดกลับไม่ใช่ปลาแซลมอนอย่างที่หลายคนเชื่อมาตลอด

    นักโภชนาการชื่อดังจากไต้หวัน หลู เมิ่งฟาน (Lu Mengfan) เปิดเผยผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งประกอบด้วย DHA และ EPA นั้นมีอยู่มากในปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาซาบะ โดยเฉพาะ DHA ซึ่งถือเป็นกรดไขมันที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของสมอง และการพัฒนาของระบบประสาท

    ปลาแมคเคอเรลครองแชมป์ DHA สูงสุด

    จากการจัดอันดับของ หลู เมิ่งฟาน พบว่า ปลาแมคเคอเรลมีปริมาณ DHA สูงสุดที่ 2,195 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ตามมาด้วยปลาซาบะ (949 มก.) ตับปลาลิ้นวัว (765 มก.) และปลาจะระเม็ด (746 มก.) ส่วนเนื้อบริเวณหน้าท้องของปลาแซลมอนซึ่งเป็นที่นิยมบริโภค กลับอยู่อันดับที่หก ด้วยปริมาณ DHA อยู่ที่ 691 มิลลิกรัม

    ประโยชน์ของ DHA ต่อสุขภาพ

    หลู เมิ่งฟาน อธิบายว่า DHA มีคุณสมบัติช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองของทารก โดยเฉพาะในครรภ์และช่วงวัยแรกเกิด การขาด DHA อาจสัมพันธ์กับปัญหาด้านการเรียนรู้ และภาวะสมาธิสั้นในเด็ก

    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการบริโภค DHA จากปลาวันละประมาณ 200 มิลลิกรัม อาจลดความเสี่ยงเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันจากโรคหัวใจถึง 50%

    ในด้านการตั้งครรภ์ หลู เมิ่งฟานชี้ว่า แม้หลายคนเลือกบริโภคอาหารเสริมน้ำมันปลา แต่ผลการวิจัยระบุว่าการทานปลาโดยตรง โดยเฉพาะปลาที่อุดมด้วย DHA จะให้ผลดีต่อพัฒนาการทางสมองของทารกมากกว่าอาหารเสริม พร้อมเน้นว่า “ธรรมชาติคือสิ่งที่ดีที่สุด”

    ขณะเดียวกัน สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐฯ (American Heart Association) แนะนำให้บริโภคปลาไขมันสูงอย่างน้อย 90 กรัมต่อสัปดาห์ เพื่อรับประโยชน์จากกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเต็มที่

    ดังนั้น หากคุณต้องการเสริมสุขภาพสมอง หัวใจ และระบบประสาท การเลือกปลาที่มี DHA สูงอย่างปลาแมคเคอเรล อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและดีกว่าการพึ่งอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะสำหรับสตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ ที่ควรใส่ใจการบริโภค DHA จากแหล่งธรรมชาติมากยิ่งขึ้น