ไม่ใช่ Elon Musk หรือ CEO ของ OpenAI แต่คนนี้ต่างหากคือ “CEO ที่อันตรายที่สุด” ในโลก AI ผู้ที่ Meta ยอมจ่ายถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดึงตัวมาร่วมงาน
ในขณะที่โลกเทคโนโลยีต่างจับตามองศึกปะทะวาจาระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman ชายหนุ่มคนหนึ่งกลับกำลังเงียบ ๆ ถือกุญแจอำนาจของทั้งอุตสาหกรรม AI เอาไว้ในมือ เขาคือ “Alexandr Wang” ซีอีโอวัย 28 ปีของ Scale AI ผู้ที่เพิ่งกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ เมื่อ Meta ยอมทุ่มเงินมหาศาลถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมในแล็บ “ซูเปอร์ AI” ที่เพิ่งก่อตั้ง
Wang อาจไม่ใช่ใบหน้าคุ้นตาบนหน้าสื่อเหมือนบรรดาเจ้าพ่อเทคโนโลยีทั้งหลาย แต่บทบาทของเขาในระบบนิเวศ AI นั้นทรงพลังกว่าที่ใครหลายคนคาดคิด สิ่งที่ทำให้เขา “อันตราย” ไม่ใช่คำพูดหวือหวาหรือการโต้เถียงในที่สาธารณะ แต่เป็นเพราะเขาคือผู้ควบคุมสิ่งสำคัญที่สุดในโลก AI นั่นคือ “ข้อมูล”
เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทองของวงการ AI
Scale AI คือบริษัทที่ Alexandr Wang ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ตอนเขาอายุเพียง 19 ปี หลังจากตัดสินใจลาออกจาก MIT บริษัทนี้เชี่ยวชาญในการจัดเตรียมข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อใช้ในการฝึกระบบปัญญาประดิษฐ์ ฟังดูอาจเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้ว “ข้อมูล” คือวัตถุดิบขั้นต้นที่ขาดไม่ได้ในการสร้างนวัตกรรม AI ทุกความก้าวหน้าของ OpenAI, Google หรือ Microsoft ล้วนต้องผ่านมือของ Wang ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะ
ที่น่าสนใจคือ Scale AI ไม่ได้ทำงานให้แค่บริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น รายชื่อลูกค้าของพวกเขาครอบคลุมแทบทุกยักษ์ใหญ่ในวงการ ไม่ว่าจะเป็น OpenAI, Microsoft, Google และแน่นอน รวมถึง Meta ด้วย ซึ่งหมายความว่า Wang มองเห็นกลยุทธ์ ช่องโหว่ และทิศทางต่อไปของบริษัทยักษ์เหล่านี้ ก่อนที่คนทั่วไปจะได้รู้เสียอีก
Wang ยังไม่ได้หยุดแค่ในภาคเอกชน เขากำลังสร้าง “กองทัพ AI” เพื่อรับงานด้านการทหารให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ Scale AI ได้รับเงินสนับสนุนจากสัญญารัฐบาลไปแล้วกว่า 60.6 ล้านดอลลาร์ และถูกนำไปใช้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมในสงครามยูเครน Wang เชื่อว่า AI สร้างสรรค์ (Generative AI) จะมีบทบาทในภาคทหารมากขึ้น และอาจเปลี่ยนรูปแบบสงครามไปโดยสิ้นเชิง หากได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลจากทหารกว่า 1.3 ล้านนายของสหรัฐ
X / @alexandr_wang
ด้วยบทบาทที่โดดเด่นนี้ Wang จึงกลายเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเองได้อายุน้อยที่สุดในโลกเมื่อปี 2022 ขณะอายุเพียง 25 ปี โดยถือหุ้น 15% ของ Scale AI ซึ่งบริษัทมีมูลค่าสูงถึง 13.8 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ทรัพย์สินของเขาทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเครือข่ายความสัมพันธ์ในโลกเทคโนโลยีที่เขาสร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง
ความสัมพันธ์ส่วนตัวของ Wang กับบุคคลสำคัญในวงการ AI ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง เขาเคยพักอาศัยร่วมกับ Sam Altman CEO ของ OpenAI และทั้งคู่ยังเคยปรากฏตัวในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากงานนั้นไม่นาน Wang ก็ซื้อพื้นที่โฆษณาหนึ่งหน้าหนังสือพิมพ์เต็มหน้า พร้อมข้อความว่า “อเมริกาต้องชนะในสงคราม AI”
แนวคิดของ Wang ชัดเจนมาก “ผมเชื่อมั่นในสองสิ่ง หนึ่งคือ AI เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถนำมาซึ่งสิ่งดีงาม และควรถูกนำมาใช้ให้กว้างที่สุด สองคือ เราต้องทำให้อเมริกาเป็นผู้นำ” เขามองว่า Scale AI คือ “จอบเสียม” แห่งยุคตื่นทองของ AI สร้างสรรค์ และต้องการรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ไว้ใน “ยุคแข่งขันของมหาอำนาจ”
แผนการดึงตัวสุดพิเศษของ Meta
ด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์อันล้ำค่าของ Wang ทำให้ Mark Zuckerberg ยอมทุ่มเงินถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อกิจการ Scale AI และดึงตัว Wang มาร่วมทีม Meta ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียที่กำลังตกเป็นรองอย่างหนักในสนามแข่งขันด้าน AI หลังจากล้มเหลวกับหลายโปรเจกต์ และเสียบุคลากรชั้นนำให้กับคู่แข่งหลายราย
การได้ Wang เข้ามา ไม่เพียงแค่ได้ “คนเก่ง” แต่ Meta ยังได้เข้าถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่าง Scale AI กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ทั่วโลก ทั้งความรู้เชิงลึกในการจัดการข้อมูลให้สะอาดสำหรับใช้ฝึก AI และประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมที่เงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้
แต่ดีลนี้ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นอีก Meta เพิ่งตั้งห้องแล็บใหม่เพื่อพัฒนา “ซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์” หรือ AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ และ Wang จะเป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้ ซึ่งทำให้เขาอาจเข้าถึงข้อมูลลับทางธุรกิจของคู่แข่งผ่านสัญญาที่ Scale AI ทำไว้กับบริษัทต่าง ๆ
เบื้องหลังความสำเร็จของ Scale AI ยังมี “กองทัพแรงงานไร้ชื่อ” ที่กระจายอยู่ทั่วโลกถึง 240,000 คน ผ่านบริษัทลูกชื่อ Remotasks ในประเทศอย่างเคนยา ฟิลิปปินส์ และเวเนซุเอลา คนเหล่านี้ทำหน้าที่จัดระเบียบและติดป้ายกำกับข้อมูล เพื่อให้ AI เรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ โดยได้ค่าตอบแทนเพียงไม่ถึง 1 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง นี่แหละคือ “โรงงานล่องหน” ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติวงการ AI ที่หลายคนไม่เคยรู้
X / @alexandr_wang
เส้นทางข้างหน้าใช่ว่าจะไร้อุปสรรค
ล่าสุด Scale AI ต้องปลดพนักงานประจำถึง 20% เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดรองก็ร่วงลงถึง 42% เมื่อเทียบกับรอบระดมทุนล่าสุดในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 คู่แข่งอย่าง Surge AI, Labelbox และ Snorkel AI เริ่มก้าวขึ้นมาท้าทายด้วยโซลูชันที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกค้ารายใหญ่บางรายก็เริ่มตั้งคำถามกับคุณภาพข้อมูลที่ Scale จัดหา
แม้จะมีความท้าทาย แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อ Wang ยังไม่สั่นคลอน
William Hockey ผู้ร่วมก่อตั้ง Plaid และกรรมการของ Scale กล่าวไว้ว่า
“เขาไม่ได้มาถึงจุดนี้เพราะเป็นอัจฉริยะ MIT ผลิตเด็กดร็อปเอาต์อายุยังไม่ถึง 20 อยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่เขามีคือวินัยการทำงานที่บ้าคลั่ง ยากจะหาใครเทียบได้”
ด้วยเครือข่ายแรงงานกว่า 1 ใน 4 ล้านคนทั่วโลกที่ช่วยจัดระเบียบข้อมูล และรายได้ที่คาดว่าจะพุ่งแตะ 2 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2025 Scale AI ยังเดินหน้าขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง การปิดดีลกับ Meta ไม่เพียงช่วยเติมเงินทุนมหาศาล แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ Wang ในฐานะหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุคเทคโนโลยี
ในขณะที่ Elon Musk สร้างกระแสด้วยคำพูดแรง ๆ และ Sam Altman โดดเด่นด้วยผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำ Alexandr Wang กลับค่อย ๆ กุมอำนาจเบื้องหลังโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ทุกสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาถูกยกให้เป็น “CEO ที่อันตรายที่สุด” ในโลก AI ยุคนี้