ผู้เขียน: admin

ในระบบศักดินาไทยโบราณ ตำแหน่งขุนนางไม่ได้มีเพียงแค่ชื่อเรียกตามระดับยศ เช่น พัน, ขุน, หมื่น, หลวง, พระ, พระยา เท่านั้น แต่ยังมีตำแหน่งเฉพาะทางอีกหลายแบบ

หนึ่งในนั้นคือ “จมื่น” ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าแตกต่างจาก “หมื่น” อย่างไร? ทั้งที่ชื่อใกล้เคียงกันมาก เราไปหาคำตอบพร้อมกันที่นี่

หมื่น (ศักดินาโดยทั่วไป: 1,000)

“หมื่น” เป็นตำแหน่งขุนนางตามลำดับชั้นศักดินา มักได้รับแต่งตั้งให้ดูแลหน่วยงานระดับกลาง เช่น กรมย่อย หรือฝ่ายปกครองในเมือง เป็นตำแหน่งในฝ่ายพลเรือนหรือทหาร เช่น “หมื่นพิทักษ์ไพร่พล” หรือ “หมื่นราชเสนา” เป็นต้น

หน้าที่: บริหารงานราชการ ปกครอง หรือรับผิดชอบตามสายงานราชการ เช่น ความมั่นคง, การคลัง หรือกฎหมาย

จมื่น (ศักดินาโดยทั่วไป: ใกล้เคียง หมื่น หรือสูงกว่าเล็กน้อย)

“จมื่น” เป็น ตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก โดยเฉพาะใน ฝ่ายใน/ฝ่ายหน้าที่รับใช้พระมหากษัตริย์โดยตรง มักเป็นผู้รับใช้หรือควบคุมดูแลงานส่วนพระองค์ในพระราชวัง เช่น ดูแลกองทหารรักษาพระองค์, กองม้า, กองเรือ, เครื่องแต่งกาย ฯลฯ เช่น “จมื่นไวยวรนาถ” หรือ “จมื่นจงรักษาพระองค์” เป็นต้น

หน้าที่: ทำงานใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ หรืออยู่ในราชสำนัก มีลักษณะเป็นตำแหน่งเชิงพิธีการ ผสมงานควบคุมดูแลในพระราชวัง

ตัวอย่างตำแหน่งในประวัติศาสตร์

หมื่นพิทักษ์ไพร่พล – รับผิดชอบกำลังพลของเมือง
จมื่นไวยวรนาถ – หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยในพระราชวัง

บทสรุป

แม้คำว่า “หมื่น” กับ “จมื่น” จะดูคล้ายกัน และศักดินาใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันอย่างชัดเจนในหน้าที่และบริบท:

หมื่น = ขุนนางฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน
จมื่น = ขุนนางราชสำนักที่ดูแลงานใกล้ชิดพระมหากษัตริย์

หากเปรียบในยุคปัจจุบัน “หมื่น” อาจคล้ายข้าราชการผู้มีหน้าที่ปกครองหรือบริหาร ส่วน “จมื่น” คล้ายเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่รับใช้ในหน่วยงานพิเศษระดับในราชสำนักหรือทำเนียบ

“หมื่น” เคยมีความสำคัญเทียบเท่า คุณพระ แต่หลังจากการปฏิรูประบบราชการในปีพุทธศักราช 1998 หมื่นกลายเป็นยศของข้าราชการชั้นประทวน ส่วน “จมื่น” เป็นยศของข้าราชการชั้นสัญญาบัตร เทียบเท่า คุณพระ แต่มีความพิเศษมากกว่า เพราะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์โดยตรง

ใบหม่อน ภรรยาสุดที่รักของ แจ็ค แฟนฉัน แปลงโฉมเป็นคาวเกิร์ลอุ้ม น้องคากิ เล่นน้ำในชุดบิกินี่ ร้อนฉ่าไปหมด

อากาศว่าร้อนแล้วมาเจอช็อตสวยจากริมสระของ ใบหม่อน กิตติยา ภรรยาสุดที่รักของ แจ็ค แฟนฉัน อุณหภูมิสูงปรอทแตกไปเลย เพราะเธอมากับชุดบิกินี่สวมหมวกเป็นคาวเกิร์ลอุ้มลูกชาย น้องคากิ เล่นกันอย่างชุ่มฉ่ำดับร้อน ซึ่งเธอได้บอกไว้ว่านานๆ จะได้ออกมาเที่ยวสักทีกับบรรยากาศดีๆ แบบนี้ เธอเขียนแคปชั่นไว้ว่า “ขอหน่อยยยนะ”  

หลายคนเห็นเห็นแล้วโดยเฉพาะสาวๆ ด้วยกันถึงกับออกปากว่าหุ่นคุณแม่ลูกหนึ่งสวยเป๊ะมากๆ หน้าท้องกลับมาแบนราบเหมือนเดิมแล้ว เรียกว่าเซ็กซี่มาก

แลช็อตนี้ แจ็ค แฟนฉัน สามีสุดที่รักเห็นแล้วถึงกับต้องเข้ามาบอกว่า “คิดถึงเมียที่สุด”

จากคอมเมนต์ของแฟนๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าวาสนาของ แจ็ค ที่สุดที่ได้ภรรยาสวยและแสนดีดูแลลูกชายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามนิวเคลียร์ เผย หากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่มีโอกาสรอดชีวิต และเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในโลกหลังการระเบิดของระเบิดปรมาณู

สงครามนิวเคลียร์จะส่งผลให้ประชากร 5 พันล้านคนจากทั้งหมด 8 พันล้านบนโลกเสียชีวิตภายในเวลาเพียง 72 นาทีแรก

ข้อมูลนี้มาจาก แอนนี จาคอบเซน ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามนิวเคลียร์และนักข่าวสายสืบสวน ซึ่งได้เปิดเผยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดกลายเป็นจริง

แอนนี ซึ่งมาจากรัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา เคยเป็นผู้เข้าชิงรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 2016 จากผลงานหนังสือ The Pentagon’s Brain: An Uncensored History of DARPA, America’s Top Secret Military Research Agency

ปัจจุบัน เธอได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ที่น่าเชื่อถือที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้

เมื่อปีที่แล้ว แอนนี จาคอบเซน วัย 57 ปี ได้ไปร่วมรายการพอดแคสต์ Diary Of A CEO ของสตีเวน บาร์ตเลตต์ และเปิดเผยถึง 2 ประเทศในโลกที่อาจมีโอกาสรอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์

เธอกล่าวว่า ศาสตราจารย์ไบรอัน ทูน ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านภูมิอากาศและบรรยากาศโลก บอกกับเธอว่า มีเพียง นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย เท่านั้นที่อาจอยู่รอดในภาวะ “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” ได้ เพราะยังสามารถทำการเกษตรและผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้

เธออธิบายว่า “พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก โดยเฉพาะบริเวณละติจูดกลาง จะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง… สถานที่อย่างไอโอวาและยูเครนจะเต็มไปด้วยหิมะยาวนานถึง 10 ปี

“การเกษตรจะล้มเหลว และเมื่อการเกษตรล้มเหลว ผู้คนก็จะล้มตาย

“ยิ่งไปกว่านั้น จะมีการปนเปื้อนรังสีอย่างรุนแรง เพราะชั้นโอโซนจะถูกทำลายจนแทบหมด ทำให้ไม่สามารถอยู่กลางแสงแดดได้อีกต่อไป ผู้คนจะต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน แย่งชิงอาหารกันไปทั่วโลก ยกเว้นเพียงที่นิวซีแลนด์และออสเตรเลียเท่านั้น”

จาคอบเซนยังเชื่อว่า ภายในเวลาเพียง 72 นาที อาจมีมนุษย์ถึง 60% ที่ถูกล้างเผ่าพันธุ์จากสงครามนิวเคลียร์

ในการให้สัมภาษณ์กับ Politico เมื่อปีที่แล้ว แอนนี จาคอบเซน กล่าวว่า “ขีปนาวุธพิสัยไกลใช้เวลาเพียง 26 นาที 40 วินาที จากฐานยิงในรัสเซียมาถึงชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ

“เรื่องนี้เป็นความจริงมาตั้งแต่ปี 1959–60 ตอนที่ เฮิร์บ ยอร์ก นักฟิสิกส์นิวเคลียร์และอดีตนักวิทยาศาสตร์ของเพนตากอน ทำการวิเคราะห์ไว้ครั้งแรก และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน

“เทคโนโลยีขีปนาวุธไม่สามารถเปลี่ยนกฎของแรงโน้มถ่วงได้ ไม่ว่าคุณจะพัฒนาแค่ไหน เวลาที่ใช้ยิงจากจุดหนึ่งไปยังเป้าหมายก็ยังเท่าเดิม ส่วนจากเปียงยาง ใช้เวลาประมาณ 33 นาที เพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ต่างออกไปเล็กน้อย”

ในกรณีที่เกิดสงครามนิวเคลียร์ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ เวลานั้น จะมีเวลาเพียง 6 นาทีในการตัดสินใจตอบโต้ โดยใช้เอกสารลับที่เรียกว่า “Black Book” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “nuclear football”

จาคอบเซน เสริมว่า “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์ หรือหากเกิดการโจมตีกันด้วยนิวเคลียร์จริง ๆ คือช่วงเวลาอันบ้าคลั่งที่เริ่มต้นทันทีเมื่อมีการตรวจพบการยิงขีปนาวุธ นี่คือข้อเท็จจริง”

“และข้อเท็จจริงอีกอย่างก็คือ ประธานาธิบดีมีเวลาเพียง 6 นาทีโดยประมาณในการตัดสินใจทั้งหมด”

“ในเวลานั้น Black Book จะถูกเปิดขึ้น และเขาต้องเลือกคำสั่งตอบโต้จากรายชื่อเป้าหมายที่อยู่ภายในเอกสารเล่มนั้น”

แรงแซงทุกตัวเลือก! แพทย์ญี่ปุ่น 300 คน โหวต 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ “นัตโตะ” ขึ้นแท่นอันดับ 1 คว้าแชมป์เหนือบล็อกโคลี-อะโวคาโด

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น คำถามหนึ่งที่ยังคงค้างคาใจหลายคนคือ “อาหารชนิดใดที่ดีต่อสุขภาพที่สุด?” ล่าสุด รายการโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่น “Famous Doctor’s Guarantee” ได้เปิดเผยผลสำรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึง 300 คน ที่ร่วมกันจัดอันดับ 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ และผลลัพธ์ที่ได้สร้างความประหลาดใจไม่น้อย โดยอาหารที่ครองอันดับ 1 ไม่ใช่ซุปเปอร์ฟู้ดยอดนิยมอย่างบล็อกโคลีหรืออะโวคาโด แต่คือ “นัตโตะ” อาหารหมักแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

“นัตโตะ” อาหารอันดับหนึ่งในใจแพทย์ญี่ปุ่น ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด 52 คะแนน จากแพทย์ทั้งหมด 300 คน ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายซึ่งส่งผลดีต่อร่างกาย เช่น

• ปรับสมดุลลำไส้

• ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง

• ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2

• ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

• ลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

• ป้องกันโรคเหงือก

• เสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน

จุดเด่นของนัตโตะอยู่ที่สารเหนียว “nattokinase” ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยสลายลิ่มเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ที่สำคัญยังมีจุลินทรีย์ Bacillus natto กว่า 20,000 ชนิด ที่มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสไข้หวัดได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการบริโภคนัตโตะ เช่น ไม่ควรกินร่วมกับไข่ดิบ เพราะสาร avidin ในไข่จะยับยั้งการดูดซึมสารอาหารบางชนิดในนัตโตะ, ไม่ควรกินพร้อมข้าวร้อนจัด เนื่องจากความร้อนเกิน 50°C จะทำลาย nattokinase, ควรคนให้ทั่วก่อนรับประทาน เพื่อเพิ่มกรดอะมิโนและรสหวานตามธรรมชาติ

เปิด 9 อาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ ที่ติดอันดับซูเปอร์ฟู๊ด

อันดับ 2  ปลาซาบะ: อุดมด้วย EPA และ DHA ที่ช่วยลดความดันโลหิตและทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นมากขึ้น

อันดับ 3  โยเกิร์ต: เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ดี เช่น bifidobacteria และแบคทีเรียกรดแลคติก ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ลดอาการท้องผูก และอาจช่วยลดไขมันในช่องท้อง

อันดับ 4  เต้าหู้: เป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีต่อหัวใจ มีแคลเซียมและธาตุเหล็ก และยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดด้วย

อันดับ 5  น้ำส้มสายชู: กรดอะซิติกช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ควบคุมความดันโลหิต ลดไขมันในช่องท้อง และกระตุ้นการขับถ่าย

อันดับ 6  บล็อกโคลี: อุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผม

อันดับ 7  มะเขือเทศ: ไลโคปีนช่วยชะลอความเสื่อมของหลอดเลือด เพิ่ม HDL และลด LDL จึงป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี

อันดับ 8  อะโวคาโด: มีสาร ASU ที่ช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูข้อเข่า อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยล้างพิษตับ ลดคอเลสเตอรอล

อันดับ 9  กิมจิ: แหล่งจุลินทรีย์กรดแลคติกที่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและชะลอความเสื่อมของลำไส้

อันดับ 10 แอปเปิล: โพลีฟีนอลในแอปเปิลช่วยลดการอักเสบในปอดและหลอดลม อีกทั้งเพคตินยังช่วยควบคุมน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด

จะเห็นได้ว่าอาหารเพื่อสุขภาพดีๆ มีอยู่ใกล้ตัวเรานี้เอง การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อสุขภาพระยะสั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคร้ายในระยะยาว ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นว่าอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมอย่าง “นัตโตะ” ซึ่งอาจดูธรรมดาสำหรับหลายคน กลับเป็นขุมทรัพย์ทางโภชนาการที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าดีจริง

• มีคำตอบแล้ว! วิจัยเผย “คนอายุยืน” มักตื่นนอนตอนไหน ใช่ 6 โมงเช้า แบบที่คิดหรือเปล่า?
• เตือนแล้วนะ! ประหยัดแค่ไหน ก็อย่ากิน 4 เมนูนี้ ถ้าหาก “ทิ้งไว้ข้ามคืน” เป็นพิษต่อร่างกาย

เจ้าของร้านชำ หอบถุงใส่ “เหรียญ” 150 ถุง ไปฝากเงินที่ธนาคาร พนักงาน 4 คน ต้องใช้เวลาถึง 1 สัปดาห์เต็ม กว่าจะนับเงินทั้งหมดได้เสร็จ

ตามรายงานของ Sohu เมื่อปี 2020 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาขึ้นในชุมชนแห่งหนึ่งที่เมืองจูจี มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน เมื่อคุณหวัง หญิงผู้ประกอบกิจการร้านขายของชำเล็ก ๆ ได้สะสมเหรียญไว้จำนวนมหาศาลภายในบ้าน เหรียญเหล่านี้ถูกเก็บใส่ตู้ไว้ถึง 3 ใบ กลายเป็น “ภูเขาเงินเหรียญ” อย่างแท้จริง

คุณหวัง เล่าว่า ด้วยความที่ทำมาค้าขายอย่างหนักแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เธอจึงไม่มีโอกาสนำเหรียญเหล่านี้ไปแลกเป็นธนบัตรที่ธนาคาร วันแล้ววันเล่าจำนวนเหรียญก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นปัญหาหนักใจ เพราะบ้านของเธอมีพื้นที่จำกัด และการเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในบ้านก็ไม่ปลอดภัย

เมื่อคิดได้ว่าไม่อาจปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป คุณหวังจึงพยายามติดต่อธนาคารหลายแห่งเพื่อขอแลกเหรียญ แต่กลับถูกปฏิเสธทั้งหมด เนื่องจากจำนวนเหรียญมากเกินไป การตรวจนับใช้เวลานาน ธนาคารไม่สามารถรับเรื่องได้

ในขณะที่แทบไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จู่ ๆ ก็มีธนาคารแห่งหนึ่งติดต่อเข้ามา พร้อมยินดีให้ความช่วยเหลือในการแลกเหรียญจำนวนมหาศาลนี้ เพื่อขนเหรียญไปยังธนาคาร คุณหวังจึงขอแรงญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาช่วยกันบรรจุเหรียญใส่ถุงพลาสติกจำนวน 150 ถุง จากนั้นจึงขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในการขนย้าย

เมื่อไปถึงธนาคาร เหล่าพนักงานต่างถึงกับอึ้งเมื่อเห็นภูเขาเหรียญที่คุณหวังนำมา ธนาคารต้องจัดแบ่งหน้าที่กันอย่างละเอียดรอบคอบ มีคนแยกเหรียญตามชนิด บางคนคอยนับ บางคนทำหน้าที่บรรจุหีบห่ออย่างเป็นระบบ

ตามรายงานจาก Sohu งานนับเหรียญนี้ต้องใช้สมาธิและความรอบคอบอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ขึ้น ในวันแรกของการทำงาน พนักงานธนาคารสามารถนับได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนเหรียญทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าราว 150,000 หยวน (ประมาณ 685,000 บาท)

ระหว่างการตรวจนับ พนักงานพบว่าเหรียญบางส่วนมีร่องรอยหมองคล้ำจากการเก็บไว้นาน บางเหรียญยังเป็นเหรียญสำหรับเล่นเกมที่ปะปนมาด้วย

ในที่สุด หลังจากทำงานกันตลอด 1 สัปดาห์ การตรวจนับเหรียญทั้งหมดก็เสร็จสิ้น โดยมีมูลค่ารวมถึง 700,000 หยวน (ประมาณ 3.1 ล้านบาท)

เมื่อผลสรุปถูกประกาศ ทั้งคุณหวังและพนักงานธนาคารต่างก็ประหลาดใจ ตัวเลขนี้เป็นผลจากหยาดเหงื่อแรงงานตลอดหลายปีของเธอ เป็นเครื่องยืนยันถึงความขยัน อดทน และความพากเพียรของคนค้าขายตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา

คุณหวัง ยังกล่าวอีกว่า ในยุคที่การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลแพร่หลาย เธอเองก็ควรปรับตัวให้ทันสมัย โดยตั้งใจจะหันมาใช้การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ด เพื่อลดการสะสมเหรียญจำนวนมาก ซึ่งสร้างภาระให้ทั้งตนเองและธนาคาร

นอกจากนี้ เธอยังหวังว่าเรื่องราวของเธอจะช่วยให้ผู้คนตระหนักว่า “การออมคือรากฐานของชีวิต” จากเหรียญเล็ก ๆ จำนวนมาก เธอสามารถสะสมกลายเป็นทรัพย์สินมหาศาล เพื่อนำไปสานฝันให้เป็นจริงในวันหนึ่ง

ต้องชื่นชมสปิริตของเธอสำหรับ “โมเม” ธนัชชา สุขสด กัปตันวอลเลย์บอลสาวทีมชาติไทย ชุดที่เดินทางไปแข่งขันรายการพิเศษ ออลสตาร์ ซูเปอร์แมตช์ ที่เมืองฮวาซอง ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยผลการแข่งขันเป็นทางด้าน นักตบลูกยางสาวไทย เป็นฝ่ายเอาชนะ ทีมเกาหลีใต้ ไปได้แบบสุดสนุก 3-1 เซต (25-20, 25-23, 17-25 และ 31-29) คว้าชัยได้ทั้งสองชุด

 

 

ภายหลังจบเกม ธนัชชา สุขสด กัปตันทีมวัย 24 ปี ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเกมนัดนี้ พร้อมทั้งดีใจกับน้องๆ ในทีมทุกคนที่ทำผลงานกันได้ดีจนสามารถคว้าชัยได้ หลังซ้อมกันมาอย่างหนัก

อย่างไรก็ตามมีหนึ่งเรื่องที่เธอไม่ได้บอกใครในทีมยกเว้น ณัฐธิมา กุบแก้ว เพื่อนร่วมห้องก็คือการที่เธอต้องสูญเสียคุณยาย ในระหว่างการเดินทางมาแข่งขันในครั้งนี้

“คุณยายเสียเมื่อสามวันที่แล้ว หนูสนิทกับคุณยายเพราะเขาเลี้ยงหนูมาตั้งแต่เด็ก จริงๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจ ตอนที่บ้านโทรมาบอกก็ร้องไห้หนักมาก”

“แต่หนูเลือกที่จะอยู่กับทีม อยากทำหน้าที่ให้ดี ไม่อยากบอกทีม อยากให้น้องๆ โฟกัสกับเกมแค่นั้น อยากลงเล่นให้ยายเห็น”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้รีบกลับไปหายาย ขอบคุณยายที่ดูแลเลี้ยงหนูมา ขอโทษที่ไม่ได้ไปหาบ่อยเพราะต้องเล่นวอลเลย์บอล”

สำหรับ ธนัชชา สุขสด ถือเป็นนักตบที่ทำคะแนนได้มากที่สุดของทีมด้วยการทำไป 23 คะแนน ในเกมนี้รวมทั้งมีอัตราการโจมตีสำเร็จสูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในสนาม

Changan Automobile เปิดตัว Changan Lumin รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2025 อย่างเป็นทางการเมื่อวันทืี่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีสองรุ่นย่อยให้เลือกคือ รุ่น 205 กม. (Xiangqin) และรุ่น 301 กม. (Miqin) เคาะราคาทางการเริ่มต้นที่ 48,900 หยวน หรือราว 220,000 บาท

รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแบบ 3 ประตู 4 ที่นั่งทั้งสองรุ่นนี้ ยังคงดีไซน์ภายนอกที่น่ารักและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่ได้รับการปรับปรุงและเสริมความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ภายใน ความปลอดภัย และอื่นๆ

Changan Lumin ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กกระทัดรัด สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Changan EPA0 โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่โค้งมน น่ารัก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรายละเอียดที่สวยงาม ด้านหน้าเป็นแบบปิดตามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป พร้อมไฟหน้าทรงกลมขนาดใหญ่ที่ดูเหมือน “ง่วงนอน” เล็กน้อย สร้างความรู้สึกน่าเอ็นดู พร้อมมือจับประตูแบบซ่อน

ในส่วนของขนาดตัวถัง Changan LUMIN มีความยาว 3,270 มม. กว้าง 1,700 มม. สูง 1,545 มม. และมีระยะฐานล้อ 1,980 มม. พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถขยายได้สูงสุดถึง 804 ลิตร และมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว

ภายในห้องโดยสาร การออกแบบโดยรวมยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า โดยมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสามก้าน แผงหน้าปัด LCD และหน้าจอควบคุมส่วนกลางแบบลอยขนาด 10.25 นิ้ว โดยรุ่นปี 2025 ได้เพิ่มระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบเบรกดิสก์ด้านหลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของระบบเบรก

ด้านขุมพลังถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 41 แรงม้า และ 48 แรงม้า ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 17.65 กิโลวัตต์ชั่วโมง และ 28.08 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 205 กิโลเมตร และ 301 กิโลเมตร ตามลำดับ รองรับการชาร์จเร็วแบบ DC ที่สามารถชาร์จจาก 30% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที และยังสามารถตั้งเวลาชาร์จในช่วง Off-Peak ล่วงหน้าได้

นอกจากการเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ฉางอันยังปล่อยแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้านำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ รับส่วนลดจากโรงงาน 2,000 หยวน และหากลูกค้าได้รับสิทธิ์ส่วนลดจากโครงการเปลี่ยนรถเก่าเป็นรถใหม่ของรัฐบาลจีนอีก 20,000 หยวน ทำให้ราคาของรุ่น 205 กม. Xiangqin ลดเหลือเพียง 25,900 หยวน (ประมาณ 120,000 บาท) และรุ่น 301 กม. Miqin ลดเหลือเพียง 32,900 หยวน (ประมาณ 149,000 บาท)

แช่ผิดชีวิตเปลี่ยน! เปิดลิสต์ 5 อาหารที่ “ไม่ควรเข้าตู้เย็น” วางไว้มุมห้องยังดีกว่า

ในครัวของครอบครัวยุคใหม่ “ตู้เย็น” ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยถนอมอาหารให้สดใหม่อยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่อาหารทุกชนิด ที่ควรนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะบางอย่างเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำ กลับเสื่อมคุณภาพหรือเน่าเสียเร็วขึ้น ดังนั้น มาดูกันว่า 5 อาหารใกล้ตัวที่ไม่ควรเก็บในตู้เย็น มีอะไรบ้าง และควรเก็บอย่างไรจึงจะดีที่สุด

ขนมปัง

หลายคนเข้าใจผิดว่าการนำขนมปังแช่เย็นจะช่วยยืดอายุการเก็บรักษา แต่ในความจริงแล้ว อุณหภูมิต่ำกลับทำให้แป้งในขนมปังเข้าสู่กระบวนการชราภาพ (retrogradation) เร็วยิ่งขึ้น ทำให้ขนมปังแห้ง แข็ง และเสียรสชาติ

ดังนั้น หากจะรับประทานภายใน 1-2 วัน ให้เก็บในภาชนะปิดสนิทที่อุณหภูมิห้อง หรือหากต้องการเก็บนานๆ ควรห่อด้วยพลาสติกแรปและแช่ในช่องแช่แข็ง (ไม่ใช่ช่องแช่เย็น) แล้วนำมาอุ่นหรือนำไปอบก่อนรับประทาน

มันฝรั่ง

แม้จะดูเหมือนพืชหัวที่เก็บได้นาน แต่เมื่อนำมันฝรั่งไปแช่ในตู้เย็น ความเย็นจะเปลี่ยนแป้งในมันฝรั่งให้กลายเป็นน้ำตาล ทำให้มีรสหวานแปลกๆ และหากนำไปทอดจะเกิดสารพิษ (อะคริลาไมด์) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ความชื้นในตู้เย็นยังเป็นตัวกระตุ้นให้มันฝรั่งงอก ซึ่งส่วนที่งอกออกมานั้นมีพิษ!

ดังนั้น ควรเก็บมันฝรั่งไว้ในที่แห้งและเย็น เช่น มุมห้องครัว โดยใช้ตะกร้าหวายแทนถุงพลาสติก ซึ่งมีเคล็ดลับคือใส่แอปเปิ้ล 1-2 ผลในตะกร้าเดียวกัน กลิ่นจากแอปเปิ้ลจะช่วยชะลอการงอกของมันฝรั่ง

กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้เมืองร้อนที่ไม่ถูกกับอุณหภูมิต่ำเลย เมื่อแช่เย็น เปลือกกล้วยจะเปลี่ยนเป็นสีดำเร็ว แม้เนื้อในยังรับประทานได้แต่ก็ดูไม่น่ากิน และรสชาติจะจืดลงอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น ควรแขวนกล้วยไว้ในที่โปร่งอุณหภูมิห้อง หากกลัวสุกเร็ว ให้ใช้พลาสติกแรปพันที่ขั้วกล้วย ทั้งนี้ แม้กล้วยที่ปอกเปลือกแล้วสามารถแช่เย็นได้ แต่ก็ควรรับประทานให้เร็วที่สุด

น้ำผึ้ง

ใครที่คิดว่าแช่น้ำผึ้งในตู้เย็นจะช่วยรักษาความสดใหม่ ขอบอกว่า ผิดถนัด! เพราะความเย็นทำให้น้ำตาลในน้ำผึ้งตกผลึก กลายเป็นเกล็ดคล้ายทราย หรือบางครั้งแข็งตัวจนตักไม่ออก

วิธีเก็บที่แนะนำคือ เก็บไว้ในภาชนะปิดสนิท ในที่แห้งและเย็น (แต่อยู่ในอุณหภูมิห้อง) และใช้ช้อนแห้งตักเท่านั้น เพื่อป้องกันการปนเปื้อน เพราะน้ำผึ้งแท้สามารถเก็บไว้ได้เป็นปีโดยไม่เสีย หากไม่มีน้ำหรือสิ่งสกปรกเจือปน

กระเทียม

หลายคนแช่กระเทียมในตู้เย็นเพราะคิดว่าจะป้องกันการงอก แต่ในความจริงกลับตรงกันข้าม! ความชื้นในตู้เย็นจะเร่งให้กระเทียมงอกเร็วขึ้น และทำให้กลิ่นของกระเทียมกระจายไปทั่วทั้งตู้เย็น

ดังนั้น ควรเก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเท เช่น ใส่ถุงตาข่ายแล้วแขวนไว้ ทั้งนี้ ควรจำไว้ว่ากระเทียมที่ยังไม่ปอกเปลือก จะเก็บได้นานกว่ากระเทียมที่ปอกแล้ว และถ้ากระเทียมเริ่มงอก ยังสามารถนำมาปลูกหรือใช้ใบเหมือนต้นหอมได้

ท้ายที่สุดต้องย้ำว่า ตู้เย็นไม่ใช่ที่เก็บอาหารสารพัดอย่าง การเลือกวิธีเก็บรักษาให้เหมาะสมกับชนิดของอาหารจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษารสชาติไว้ได้ดีที่สุด ลองสำรวจสิ่งที่อยู่ในตู้เย็นตามลิสต์ด้านบนนี้ เพราะบอกไปแล้วว่า “วางไว้ในมุมห้อง” อาจดีกว่า “เก็บไว้ในตู้เย็น” เสียอีก!

•  นักประสาทวิทยา แนะนำให้เติม 1 ส่วนผสมลงใน “กาแฟ” ช่วยป้องกันริ้วรอย หนีแก่ก่อนวัย!
• ต่างชาติแชร์เคล็ดลับ “ใส่เกลือในตู้เย็น” ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องกลิ่น แต่มีประโยชน์มากกว่านั้น!

ขึ้นแท่นเป็นมาดามที่มีชีวิตดี๊ดีจนหลายคนต่างยกให้เป็นไอดอล สำหรับนักแสดงสาว ศรีริต้า เจนเซ่น ที่นอกจากจะมีสามีไฮโซ กรณ์ ณรงค์เดช ดูแลอย่างดีแล้ว ยังสร้างครอบครัวอบอุ่นมี น้องกวิณท์ และ น้องเรเน่ ลูกชายลูกสาวมาเป็นโซ่คล้องใจอีกด้วย

ล่าสุด ศรีริต้า ก็ได้บินลัดฟ้าควงแขน กรณ์ ณรงค์เดช ไปที่ประเทศอังกฤษ พร้อมเผยให้เห็นบ้านหรูของสามีที่ตั้งอยู่ ณ เมืองลอนดอน โดยเขียนแคปชั่น “ยำรวมไปค่ะ มาบ้านคุณกรณ์ที่ลอนดอน”

ซึ่งบอกว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่สุดๆ ทั้งสวย หรู ผู้ดี ตกแต่งได้อย่างลงตัว ดูแล้วอบอุ่นต่อหัวใจเป็นอย่างมาก งานนี้ทำเอาแฟนๆ ต่างเข้ามากดไลก์และคอมเมนต์ชื่นชมในความสวยงามกันอย่างรัวๆ เลยจ้า

อีกหนึ่งความสุขของนักแสดงสาว โบ-ชญาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ที่หลีกหนีความวุ่นวายไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ เรียบง่าย ซื้อที่ดินและปลูกผักทำสวน ได้พักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ  

อย่างล่าสุดในวันหยุดช่วงสงกรานต์ โบ ชญาดา ก็ได้ไปทำนาที่บ้านสวน ทั้งยังอวดต้นมะม่วงที่ออกลูกดกมากเต็มต้น แถมบรรยากาศก็สุดฟิน วิวสวยมาก ธรรมชาติดูสดชื่นสบายตา และไม่น่าเชื่อว่านี่คือวิวกรุงเทพฯ 

และแคปชั่นที่ โบ ชญาดา เขียนไว้ว่า “Slow life in BKK วันหยุดนี้ไปทำนาอยู่บ้านสวน มะม่วงที่บ้านออกเยอะมากค่ะ”