Blog

  • KUBET – ประวัติ ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร คือใคร ยูทูบเบอร์หนุ่มหน้าใส แถมรวยโคตรๆ

    ประวัติ ซุง ศตาวิน หนุ่มหน้าใส รวยเหลือเชื่อ

    จากเด็กชายที่เติบโตในครอบครัวธุรกิจรถมือสอง สู่การเป็นหนึ่งในผู้บริหารของอาณาจักร “Love Potion” และ “ตลาดเซฟวัน GO” คุณซุง หรือ “ซุง ศตาวิน” นับเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีเส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจที่น่าสนใจตั้งแต่ยังเด็ก

    หากพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ที่มาแรงสุด ๆ ตอนนี้ หนึ่งในนั้นคงต้องยกให้ “ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร” เจ้าของช่องยูทูป Starwin Narkthongpet ที่มียอดผู้ติดตามสูงถึงกว่า 3 ล้านคน ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลายและน่าสนใจ ทั้งเรื่อง Lifestyle, แฟชั่น, การแต่งตัว, การทำอาหาร และการเล่นเกมส์ต่าง ๆ ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

    ซุง ศตาวิน คือใคร?

    • ชื่อจริง: ศตาวิน นาคทองเพชร
    • เกิดวันที่: 14 ธันวาคม (ปัจจุบันอายุ 25 ปี)
    • การศึกษา: จบจากภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    • ช่องยูทูป: Starwin Narkthongpet
    • เฟซบุ๊ก: Sungstarwin

    ซุงเริ่มต้นทำคอนเทนต์ใน YouTube ด้วยความสนใจส่วนตัว และเคยทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ดังอย่าง “เก๋ไก๋” และ “สไปร์ท” ซึ่งตอนแรกเขายังไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้กล้องหรือการถ่ายทำ แต่ด้วยความพยายามและการช่วยเหลือกันสร้างคอนเทนต์ ทำให้ค่อย ๆ กลายเป็นงานจริงจัง จนในที่สุดซุงได้ตัดสินใจเปิดช่องของตัวเองอย่างเต็มตัว

    เส้นทางการทำธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก

    ซุงเริ่มสร้างรายได้ด้วยตนเองตั้งแต่ประถม โดยการหาซื้อนาฬิกา G-Shock มือสอง มาขายต่อ ต่อมาได้เรียนรู้วิธีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจาก eBay ซึ่งทำให้เขาเริ่มนำเข้าสินค้ามาขายได้จริง ๆ

    หนึ่งในสินค้าที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับเขาคือ “เซตขัดไฟหน้ารถ” ที่นำเข้าจากจีน และพัฒนาไปสู่การผลิตน้ำยาขัดไฟหน้ารถเอง ส่งผลให้ทำกำไรได้หลายล้านบาทตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ม.4

    เส้นทางความรักและชีวิตส่วนตัว

    ซุงกำลังคบหาดูใจกับ “ซ้อการ์ด” อินฟลูเอนเซอร์สาวสวย ที่เป็นทั้งแฟนและ CEO เจ้าของอินสตาแกรมชื่อดัง carddd ซึ่งทั้งคู่มักจะมีโมเมนต์น่ารัก ๆ ให้แฟน ๆ ได้ติดตามอยู่เสมอ

    จุดเด่นและความสำเร็จ

    สิ่งที่ทำให้ซุงโดดเด่นคือ ความหลากหลายของคอนเทนต์ที่เขาผลิตออกมา และความเป็นตัวของตัวเองที่ดูเป็นธรรมชาติ บวกกับการนำเสนอที่ทันสมัยและตรงใจคนรุ่นใหม่ จึงไม่แปลกที่เขาจะกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

    จะเห็นได้ว่าชีวิตของ ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร นั้นน่าสนใจมาก ทั้งเรื่องราวการทำคอนเทนต์ การร่วมงานกับคนดัง และความรักที่ดูสดใส ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นที่นิยมและถูกพูดถึงอย่างมากในวงการอินฟลูเอนเซอร์เมืองไทยในปัจจุบัน

  • KUBET – ฝรั่งมาไทยอัดคลิปถาม “ปลาอะไร?” ติดใจจนต้องซื้อซ้ำ คนไทยเซอร์ไพรส์ไม่คิดว่าจะชอบเมนูนี้

    นักท่องเที่ยวต่างชาติอัดคลิปถามคนไทย “ปลาอะไร?” ติดใจจนต้องซื้อซ้ำ หลายคนเซอร์ไพรส์ไม่คิดว่าจะชอบเมนูนี้ 

    กลายเป็นไวรัลในหมู่คนไทย เมื่อผู้ใช้ TikTok ชื่อ manuelcalumet นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันที่พาครอบครัวมาเที่ยวประเทศไทย ได้โพสต์คลิปสอบถามชื่อเมนูปลาที่เขาซื้อจากตลาด ซึ่งเขาบอกว่าเป็นปลาที่อร่อยมาก แต่ไม่ทราบว่ามีชื่อเรียกว่าอะไร

    ในคลิปดังกล่าว เมื่อเดินเข้าไปที่ร้านขายกับข้าว เขาชี้ไปที่ปลาที่ต้องการ พร้อมถามคนขายด้วยภาษาอังกฤษว่า “ปลานี้ชื่อว่าอะไร”  แม้จะไม่สามารถสื่อสารได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจซื้อยกแผงไปถึง 6 ตัว

    หลังจากคลิปเผยแพร่ออกไป มีชาวไทยจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์เฉลยว่าเมนูนี้คือ “ปลาทูเค็มทรงเครื่อง” ซึ่งเป็นปลาทูที่ผ่านการหมักและนำไปทอด เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างพริกชี้ฟ้า หอมแดง และมะนาว เพื่อเพิ่มรสชาติและลดความเค็ม โดยหลายคนเสนอชื่อภาษาอังกฤษให้ว่า “Fried Salted Mackerel”

    นอกจากความสนใจในตัวเมนูแล้ว หลายคอมเมนต์ยังแสดงความแปลกใจ เพราะปกติชาวต่างชาติที่มาไทยมักนิยมรับประทานเมนูอย่าง ต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือส้มตำ ไม่ค่อยมีใครเลือกกินปลาทูเค็ม บางคนถึงกับแซวว่า ซื้อไป 6 ตัวแบบนี้ “ไตต้องทำงานหนักแน่!” เนื่องจากเมนูนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเค็ม

    คลิปดังกล่าวยังคงได้รับความสนใจจากชาวเน็ตไทยอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้ “ปลาทูเค็มทรงเครื่อง” กลายเป็นเมนูใหม่ที่ชาวต่างชาติต้องลองในอนาคต!

  • KUBET – ทำไมจึงไม่ควรเสียบ Adapter หัวชาร์จ คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์

    อันตรายและข้อเสียของการเสียบ Adapter (หัวชาร์จ) ชาร์จโทรศัพท์คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์

    การเสียบ Adapter ชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์อาจดูเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำเช่นนี้มีอันตรายและข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งต่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม โดยจากการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรระมัดระวัง ดังนี้:

    1. สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า

    แม้จะไม่ได้เสียบโทรศัพท์เข้ากับ Adapter ที่ต่อกับปลั๊กไฟ Adapter จะยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งเรียกว่า “การใช้พลังงานแบบสแตนด์บาย” (Standby Power หรือ Vampire Power) การศึกษาโดย Lawrence Berkeley National Laboratory (LBNL) ระบุว่า การเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน สามารถทำให้เสียพลังงานไฟฟ้าสูงถึง 5-10% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในครัวเรือน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น แต่ยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างไม่คุ้มค่า

    2. ความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้

    การเสียบ Adapter ทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งาน สามารถเพิ่มโอกาสการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและทำให้เกิดความร้อนสะสม โดยเฉพาะเมื่อใช้ Adapter ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเสื่อมสภาพ การศึกษาของ National Fire Protection Association (NFPA) ชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ในบ้านเรือนมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานผิดพลาด การเสียบ Adapter คาทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจทำให้ความร้อนสะสมและเกิดไฟไหม้ได้ หากมีปัญหาภายในวงจรของ Adapter

    3. การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ชาร์จ

    แม้ว่าจะไม่ได้เสียบโทรศัพท์เพื่อชาร์จ แต่อุปกรณ์ชาร์จเองก็ยังคงมีการทำงานและเกิดความร้อนสะสมอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยให้ Adapter ทำงานเป็นเวลานานๆ อาจส่งผลให้ตัว Adapter เสื่อมสภาพไวขึ้นกว่าปกติ ทำให้อายุการใช้งานของ Adapter ลดลง การศึกษาจาก Consumer Electronics Safety Commission (CPSC) ชี้ให้เห็นว่า การใช้งาน Adapter ที่มีการเสื่อมสภาพอาจทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายหรือมีความเสี่ยงต่อการระเบิดและลุกไหม้ได้

    4. ปัญหาด้านความปลอดภัยในระบบไฟฟ้าในบ้าน

    ในบางกรณี โดยเฉพาะในบ้านเรือนที่มีระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเก่า การเสียบ Adapter ชาร์จทิ้งไว้ในปลั๊กไฟอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ระบบไฟฟ้าจะทำงานผิดพลาด หรือเกิดไฟฟ้ากระชาก (Power Surge) เมื่อเกิดไฟตกหรือไฟดับอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ชาร์จและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ เสียหายได้

    สรุป

    การเสียบ Adapter ชาร์จโทรศัพท์คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ แม้จะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก แต่จากการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า มีทั้งอันตรายและผลเสียหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร และการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและการประหยัดพลังงาน ควรถอด Adapter ออกจากปลั๊กไฟทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน.

    แหล่งที่มา

    • Lawrence Berkeley National Laboratory, Standby Power Summary Table.
    • National Fire Protection Association (NFPA), Electrical Fires Report.
    • Consumer Electronics Safety Commission (CPSC), Adapter Safety Guidelines.
  • KUBET – คนเราปัสสาวะวันละกี่ครั้ง? แพทย์เฉลยคำตอบที่ถูกต้อง หากเกินกว่านี้ เป็นสัญญาณของโรค

    คนเราปัสสาวะวันละกี่ครั้ง? แพทย์เฉลย “คำตอบที่ถูกต้อง” หากเกินกว่านี้ เป็นสัญญาณของโรค อย่าลืมสังเกตตัวเอง

    ปัญหาปัสสาวะบ่อยไม่เพียงแต่สร้างความลำบากในชีวิตประจำวัน แต่ยังอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับอีกด้วย ในเรื่องนี้ นพ.กู้ ฟางอวี่ (Gu Fangyu) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ ระบุว่าจำนวนครั้งที่เข้าห้องน้ำในแต่ละวันขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยปกติคนทั่วไปจะปัสสาวะประมาณ 8-12 ครั้งต่อวัน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากเกิน 12 ครั้งต่อวัน อาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน” (Overactive Bladder: OAB) ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

    นพ.กู้ ฟางอวี่ ได้ให้ความรู้ผ่านวิดีโอบนเพจเฟซบุ๊ก “鳥科學先生-泌尿科顧芳瑜醫師” โดยมีผู้ป่วยรายหนึ่งเล่าว่าต้องเข้าห้องน้ำทุก ๆ 15 นาที ซึ่งเป็นอาการที่ชัดเจนของภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ตามปกติ ร่างกายไม่ควรรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยเช่นนี้ แพทย์อธิบายว่ากระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่เหมือนตัวควบคุมสัญญาณประสาท เมื่อมีปัสสาวะเต็ม กระเพาะปัสสาวะจะส่งสัญญาณไปยังสมองผ่านไขสันหลังเพื่อเตือนให้เราถ่ายปัสสาวะ แต่ในบางกรณี กระเพาะปัสสาวะอาจเกิดการส่งสัญญาณผิดปกติ ทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยแม้ว่าจะมีปัสสาวะเพียงเล็กน้อย

    วิธีรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน

    แพทย์ระบุว่าการรักษามี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การใช้ยา และ การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า

    • การใช้ยา: ยาจะช่วยควบคุมการส่งสัญญาณผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ โดยมักเกี่ยวข้องกับความเครียดของผู้ป่วย ดังนั้นการลดความเครียดก็เป็นสิ่งสำคัญ
    • การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า: หากการใช้ยาไม่ได้ผล สามารถใช้วิธีนี้ได้ โดยแพทย์จะกระตุ้นเส้นประสาทที่ฝ่าเท้าด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อส่งสัญญาณไปยับยั้งกระเพาะปัสสาวะ ลดความถี่ในการปัสสาวะ

    ปัสสาวะบ่อยมีผลต่อสีของปัสสาวะหรือไม่?

    นพ.กู้ ฟางอวี่ อธิบายว่า โดยทั่วไปแล้ว สีของปัสสาวะในผู้ที่ปัสสาวะบ่อยจะไม่แตกต่างจากปกติ ซึ่งควรเป็นสีเหลืองใส แต่หากพบว่าสีปัสสาวะผิดปกติ เช่น

    • สีเหลืองอมเขียว อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
    • สีเข้มผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดปนในปัสสาวะ

    หากพบความผิดปกติของสีปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

    แม้ว่าการปัสสาวะบ่อยจะเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นบ่อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณของภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน การรักษาที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

    ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ศ. นพ.วชิร คชการ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โดยปกติผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ช่วงตอนกลางวันจะปัสสาวะวันละ 3 – 5 ครั้ง วันละ 1 – 2 ครั้งในตอนกลางคืน

    หากมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ หรือมีความถี่ในการเข้าห้องน้ำมากกว่าจำนวนครั้งที่กล่าว อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพหรือโรคที่แฝงซ่อนอยู่

    • ดื่มน้ำเยอะเกินไป
    • กระเพาะปัสสาวะมีขนาดเล็กกว่าปกติ
    • โรคกระเพราะปัสสาวะไวเกิน
    • ความเสื่อมของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคนิ่วในไตหรือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
    • เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคไต
    • ตั้งครรภ์
    • ยารักษาโรคบางชนิด
    • โรคเบาหวาน
    • โรคต่อมลูกหมากโต
    • โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท

    ควรหมั่นสังเกตตัวเองในแต่ละวันมีอาการปัสสาวะบ่อยมากน้อยเพียงใด หรือหากปวดปัสสาวะจนไม่สามารถกลั้นได้ ควรรีบไปพบแพทย์

     

  • KUBET – หญิงวัย 66 กิน “กล้วย” วันละลูกทุกเช้า 1 ปีต่อมาไปพบหมอ ทึ่งกับผลลัพธ์ที่ได้

    ตื่นเช้ามากินกล้วยวันละ 1 ลูก ผ่านไป 1 ปี หญิงวัย 66 ปี ตรวจสุขภาพแล้วพบผลลัพธ์สุดเซอร์ไพรส์ หมอยังประหลาดใจ

    เมื่ออายุเข้าสู่เลข 50 การทำงานของร่างกายเริ่มเสื่อมลง ทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังมากขึ้น หลายคนเริ่มหันมาดูแลสุขภาพผ่าน การปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง

    บางคนเลือกกินอาหารให้น้อยที่สุดเพราะคิดว่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น บ้างก็เน้นกินอาหารเฉพาะอย่างแต่ ละเลยความสมดุลทางโภชนาการ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตแปรปรวน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา

    แต่สำหรับ คุณนายเฉา หญิงวัย 66 ปี จากประเทศจีน เธอไม่ได้เปลี่ยนอาหารการกินอย่างสุดโต่ง และไม่หลงเชื่อแนวทางสุขภาพที่ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เธอเพียงแค่กินกล้วยวันละ 1 ลูกทุกเช้าหลังตื่นนอน และรักษานิสัยนี้ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี

    เมื่อถึงเวลาตรวจสุขภาพครั้งถัดไป แพทย์ประหลาดใจในผลลัพธ์และชื่นชมเธอที่สามารถรักษาสุขภาพได้ดีเยี่ยม

    Dom J

    สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงกินกล้วยทุกเช้า

    หลังจากผ่านไป 1 ปี ความดันโลหิตของคุณนายเฉาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และที่สำคัญ คุณภาพการนอนหลับก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

    แม้กล้วยจะดูเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ประโยชน์ของมันมีมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะหากรับประทานเป็นประจำทุกเช้า ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งถึง 4 ประการ

    หลอดเลือดสะอาดขึ้น

    หลายคนคิดว่า ลดเค็ม คือวิธีควบคุมความดันโลหิต แต่ความจริงแล้ว การเพิ่มโพแทสเซียมก็สำคัญไม่แพ้กัน กล้วยเป็นแหล่งโพแทสเซียมตามธรรมชาติ การกินกล้วยวันละลูกในตอนเช้า ช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมส่วนเกิน ออกไป ลดความตึงเครียดของหลอดเลือด และช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับสมดุล

    งานวิจัยพบว่าการเพิ่มโพแทสเซียม 1,000 มก. ต่อวัน สามารถลด ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic BP) ได้ 4-5 mmHg หากทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

    สุขภาพลำไส้ดีขึ้น

    หากจุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล และการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง จะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด, ท้องเฟ้อ, หรือกรดไหลย้อน กล้วยอุดมไปด้วย ไฟเบอร์ละลายน้ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และการย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น

    หลายคนมักคิดว่าการทานโจ๊กจะช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ช่วยให้กระเพาะแข็งแรงได้จริงๆ คือ การปรับสมดุลของลำไส้ และกล้วยก็เป็นหนึ่งในอาหารที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในกระบวนการนี้

    ข้อเข่าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    หลายคนมักคิดว่า อาการปวดเข่าหลังจากเดินนานๆ เป็นเรื่องปกติของวัยชรา แต่ความจริงแล้วการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพฤติกรรมการกิน กล้วยอุดมไปด้วยวิตามิน B6 และแมกนีเซียม ซึ่งทั้งสองสารนี้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่าง กล้ามเนื้อและเส้นประสาท หากขาดแมกนีเซียมจะทำให้เกิด อาการตะคริวและข้อฝืดได้ง่าย

    สำหรับผู้สูงอายุที่รู้สึกขาและเท้าอ่อนแรง อาจไม่ใช่เพราะปัญหากระดูกโดยตรง แต่เกิดจากการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อลดลง และการหล่อลื่นของข้อด้อยลง ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวยากขึ้น การกินกล้วยวันละลูก ช่วยเติมเต็ม แมกนีเซียมและวิตามิน B6 ที่จำเป็น เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

    อารมณ์ที่สมดุลมากขึ้น

    หลายคนไม่รู้ว่าคุณภาพการนอนหลับที่ลดลง เกี่ยวข้องกับระดับเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่ควบคุม อารมณ์และการนอนหลับ คนที่ขาดเซโรโทนินไม่เพียงแค่วิตกกังวลและซึมเศร้า แต่ยังมีปัญหาการนอนหลับที่ไม่ดีอีกด้วย

    ทริปโตเฟนในกล้วยเป็นสารสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน การทานกล้วยเป็นประจำสามารถช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกาย ทำให้อารมณ์สมดุลขึ้น และคุณภาพการนอนหลับดีขึ้น

    การกินกล้วยวันละลูกในตอนเช้าอาจดูเป็นนิสัยง่ายๆ แต่ผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่คิด

    • ไม่เพียงแต่ช่วยให้หลอดเลือดขับโซเดียมส่วนเกิน และทำให้ความดันโลหิตสมดุล แต่ยังช่วยสุขภาพลำไส้ และทำให้กระเพาะรู้สึกดีขึ้น
    • มันยังช่วยลดการสูญเสียกล้ามเนื้อ ทำให้ข้อเคลื่อนไหวดีขึ้น และเพิ่มเซโรโทนิน เพื่อให้การนอนหลับมีความเสถียร
  • KUBET – สลด พบศพดาว OnlyFans วัย 21 ในห้องพัก เผยโพสต์สุดท้าย แฟนๆ แห่อาลัย

    ดาว OnlyFans วัย 21 ถูกพบเป็นศพในห้อง หลังพ่อแจ้งความคนหายกว่า 2 สัปดาห์ เผยโพสต์สุดท้ายก่อนเสียชีวิต

    ดาว OnlyFans จูลี ลักซี่ (Juli Luxie) ถูกพบเป็นศพในอะพาร์ตเมนต์ทางตอนใต้ของปารีส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม ขณะอายุเพียง 21 ปี

    สำนักข่าว Le Parisien รายงานว่า เธอไม่รับสายโทรศัพท์มานานกว่า 2 สัปดาห์ และเงียบหายไปจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งปกติแล้วเธอจะโพสต์อย่างสม่ำเสมอ

    จูลี ลักซี่ สร้างรายได้จากเนื้อหาบนแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใหญ่ และมีผู้ติดตามบนอินสตาแกรมกว่า 39,500 คน โพสต์สุดท้ายของเธอเป็นภาพริมสระน้ำ พร้อมแคปชันภาษาอังกฤษว่า “มาว่ายน้ำกับฉันสิ” 

    แม้โพสต์ล่าสุดบนอินสตาแกรมจะเป็นช่วงเดือนมกราคม แต่เธอเคยอัปโหลดภาพเซลฟี่หน้ากระจกบน X (เดิมคือ Twitter) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ในนาม Julie Diablotine

    หลังจาก จูลี ลักซี่ ขาดการติดต่อไป พ่อของเธอรู้สึกผิดปกติและแจ้งตำรวจ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง พวกเขาพบว่าประตูล็อกจากด้านใน และในที่สุดก็พบร่างของเธออยู่ในทางเดินของอะพาร์ตเมนต์

    ทางการฝรั่งเศสได้เปิดการสอบสวน แต่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นคดีอาชญากรรมหรือมีเงื่อนงำต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม Le Parisien รายงานว่าตำรวจพบร่องรอยเลือดภายในที่พักของเธอ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมืองปารีส

    นอกจากนี้ ยังพบขวดไนตรัสออกไซด์ หรือที่เรียกว่า แก๊สหัวเราะ ในที่เกิดเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ

    หลังข่าวการเสียชีวิตของ จูลี ลักซี่ แพร่ออกไป แฟนๆ และผู้ติดตามต่างหลั่งไหลเข้าสู่โซเชียลมีเดียของเธอ เพื่อร่วมไว้อาลัยผ่านคอมเมนต์

    “ขอให้เธอไปสู่สุคติ ยังเด็กเกินไปที่จะจากไป” หนึ่งในผู้ติดตามเขียนไว้ใต้โพสต์ล่าสุดของเธอบนอินสตาแกรม

    อีกคนกล่าวว่า “เส้นทางชีวิตเป็นของเธอเอง ไม่มีใครมีสิทธิ์ดูถูก แม้แต่หลังจากที่เธอจากไปแล้ว”

  • KUBET – ย้อนรอย 16 ปี โศกนาฏกรรมนักสำรวจถ้ำ สิ้นใจทรมานในช่องแคบ ศพอยู่ที่เดิม “ชั่วนิรันดร์”

    ย้อนรอย 16 ปี โศกนาฏกรรมถ้ำมรณะ นักสำรวจติดช่องแคบ ห้อยหัวนานกว่า 24 ชั่วโมง ช่วยชีวิตไม่สำเร็จและนำศพออกมาไม่ได้ 

    24 พฤศจิกายน 2009 หรือ เมื่อเกือบ 16 ปีที่แล้ว แพทย์ฝึกหัดและนักสำรวจชาวอเมริกัน John Edward Jones ได้ติดอยู่ในถ้ำ Nutty Putty และเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า เหตุการณ์อุบัติเหตุและการค้นหาช่วยเหลือเขาได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพราะความโศกเศร้า จนถึงขนาดที่สื่อเรียกมันว่า “การตายที่แย่ที่สุดที่สามารถจินตนาการได้”

    นักสำรวจถ้ำคนนี้ชอบท้าทายตัวเองและมีประสบการณ์ แต่เขาโชคร้ายเมื่อเขาไปถึงทะเลทรายยูทาห์ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2009 โดยมีพี่ชายที่เป็นนักผจญภัยเหมือนเขาไปด้วยกัน ในระหว่างที่อยู่ในถ้ำ โจนส์ได้เดินทางผิดทางและติดอยู่ในช่องทางที่ยังไม่ได้ทำแผนที่

    เขาติดอยู่ในท่าทางห้อยหัวกว่า 24 ชั่วโมงในถ้ำ และถึงแม้ว่าหลายคนจะมาช่วยเหลือ โจนส์ก็ยังต้องทนทุกข์ “การตายที่แย่ที่สุดที่สามารถจินตนาการได้” หลังจากความพยายามช่วยเหลือที่ไม่ประสบความสำเร็จและแม้กระทั่งการทำลายถ้ำเพื่อดึงร่างของเขาออกก็ไม่สามารถทำได้ ทางการจึงได้ปิดถ้ำ Nutty Putty และปล่อยให้ John Edward Jones อยู่ภายใน

    โจนส์ (ตอนนั้นอายุ 26 ปี) ได้รับการรำลึกถึงด้วยป้ายและพวงหรีดที่ทางเข้าถ้ำ เรื่องราวโศกนาฏกรรมนี้กลายเป็นที่รู้จักจนมีภาพยนตร์สารคดีสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์ที่น่าสลด

    ช่องแคบที่ซึ่งชายผู้โชคร้ายเสียชีวิต, มีขนาดเพียง 25 ซม. x 45 ซม. และตั้งอยู่ห่างจากทางเข้าถ้ำ 122 เมตร ด้วยความสูง 1.8 เมตร, โจนส์ไม่สามารถได้รับการช่วยเหลือ ทีมกู้ภัยได้ลองทุกวิธีการ, แต่ทุกครั้งที่เขาหายใจ, อกของโจนส์ขยายขึ้นและทำให้เขาติดอยู่ในช่องทางแคบ ๆ ลึกขึ้น

    15 ปีต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ข่าวของ ABC4 Utah เกี่ยวกับการตายของแพทย์ฝึกหัดนี้ถูกนำเสนอ โดยสรุปวิธีที่โจนส์ติดอยู่และความพยายามในการช่วยเหลือที่ตามมา ผู้สื่อข่าวอธิบายว่าเขาติดอยู่ในรอยแยกเล็ก ๆ และกล่าวเสริมว่า “ในช่วงเวลากว่า 1 วัน ทีมค้นหาและกู้ภัยได้ลองหลายวิธีเพื่อดึงโจนส์ออกมา แต่ทุกวิธีก็ล้มเหลว การพยายามครั้งที่ 4 ในการดึงโจนส์ออกมา ระบบเชือกและรอกที่ใช้ก็ขาด ทำให้โจนส์ตกกลับเข้าไปในถ้ำลึกยิ่งกว่าเดิม”

    ในการกล่าวถึงเหตุการณ์ครบรอบ 15 ปี, ผู้สื่อข่าวกล่าวต่อไปว่า “หลังจากที่เขานอนคว่ำอยู่ในท่าทางห้อยหัวมากกว่า 24 ชั่วโมง ผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของโจนส์ และในช่วงเที่ยงคืนโจนส์ได้รับการประกาศว่าเสียชีวิต ทางการระบุว่าการกู้ร่างของโจนส์นั้นอันตรายเกินไปและได้ปิดผนึกถ้ำเป็นสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของเขา ป้ายหนึ่งถูกตั้งที่ทางเข้าถ้ำเพื่อรำลึกถึงโจนส์”

  • KUBET – อายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินอาหารเช้าเวลาไหนดีที่สุด? ไม่ใช่ 7 โมงเช้าอย่างที่หลายคนคิด

    หลังอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรกินอะไรเป็น “อาหารเช้า” และกินเวลาไหนดีที่สุด? ไม่ใช่ 7 โมงเช้า อย่างที่หลายคนคิด

    การทานอาหารเช้าอย่างถูกวิธีจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและอายุยืนของผู้สูงวัยได้อย่างมาก แต่ละคนมีเวลาในการตื่นเช้าที่แตกต่างกัน บางคนตื่นตรง 7 โมงเช้า แต่บางคนอาจนอนถึง 8 หรือ 9 โมงเช้าก่อนจะเริ่มเตรียมอาหารเช้า

    โดยเฉพาะหลังจากอายุ 60 ปี หลายคนเริ่มสังเกตว่าตนเองไม่สามารถทานอาหารเช้าได้เหมือนตอนที่ยังเด็ก และมื้อแรกของวันดูเหมือนจะมีความสำคัญมากขึ้น

    ดังนั้นคำถามที่เกิดขึ้นคือ: หลังอายุ 60 ปี ควรทานอาหารเช้าอย่างไร? ควรกินตอนเวลาไหน? หมอเตือนว่า การทานอาหารเช้าไม่ถูกวิธีไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ ด้วย

    ทำไมอาหารเช้าถึงสำคัญสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี?

    สำหรับผู้สูงวัย อาหารเช้าที่มีคุณภาพมีผลต่อสุขภาพตลอดทั้งวันอย่างมาก อาหารเช้าไม่ใช่แค่การทานมื้อแรกของวัน แต่ยังเป็นแหล่งพลังงานและสารอาหารสำคัญ

    เมื่ออายุมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายเริ่มเสื่อมถอย โดยเฉพาะระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญ ดังนั้นการทานอาหารเช้าในเวลาที่เหมาะสมและครบถ้วน จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ และยังช่วยป้องกันโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรืออ้วนได้

    เวลาอาหารเช้าที่เหมาะสม

    เวลาทานอาหารเช้าก็สำคัญไม่น้อยเช่นกัน ช่วงเช้าระบบชีวภาพของร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กระเพาะอาหารและลำไส้ยังคงอยู่ในกระบวนการเริ่มต้น หากทานอาหารเช้าเร็วเกินไป ระบบย่อยอาหารยังไม่พร้อม อาจทำให้เกิดความดันที่กระเพาะได้

    ในทางกลับกัน หากทานอาหารเช้าช้าเกินไป ร่างกายอาจพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดูดซึมสารอาหาร การอดอาหารนานเกินไปอาจทำให้กรดในกระเพาะหลั่งออกมาเยอะ ทำลายเยื่อบุกระเพาะ และหากเป็นนานอาจนำไปสู่โรคกระเพาะได้

    เวลาทานอาหารเช้าที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ควรทานภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังตื่นนอน ในช่วงนี้ระบบย่อยอาหารจะทำงานได้ดีขึ้น และสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการตื่นสายและทานอาหารเช้าใกล้กับมื้ออาหารอื่นๆ ในวันนั้น

    สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องทานยาทุกวันเพื่อควบคุมโรคเรื้อรัง ควรระวังในขณะทานอาหารเช้า: หลีกเลี่ยงการทานยาในขณะท้องว่างหากยานั้นอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ไม่ควรทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูงก่อนหรือหลังการทานยา เพื่อป้องกันไม่ให้ยาสูญเสียประสิทธิภาพ

    M I N E I A M A R T I N S

    ผู้สูงอายุควรทานอาหารเช้าอย่างไร?

    1. ให้ความสำคัญกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูงและดัชนีน้ำตาลต่ำ

    ผู้สูงอายุมักพบปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือไขมันในเลือดสูง ดังนั้นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (GI ต่ำ) จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เช่น

    • ธัญพืชเต็มเมล็ด (ขนมปังโฮลวีต, ข้าวโอ๊ต, ข้าวกล้อง) ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • อาหารที่มีไฟเบอร์สูงช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก
    1. เสริมโปรตีนเพื่อรักษาสุขภาพ

    โปรตีนช่วยให้ร่างกายรักษามวลกล้ามเนื้อ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยืดระยะเวลาอิ่มท้อง อาหารที่มีโปรตีนสูงที่เหมาะสำหรับมื้อเช้าประกอบด้วย: ไข่, นม, เต้าหู้, เนื้อไม่ติดมัน หรือผลิตภัณฑ์จากนมที่ไขมันต่ำ เช่น โยเกิร์ต, ชีสไขมันต่ำ

    1. รับประทานผักใบเขียวและผลไม้ให้มาก

    ผักและผลไม้ให้วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอกระบวนการชรา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

    อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น องุ่นและกล้วย หากเป็นผู้ป่วยเบาหวาน

    1. จำกัดอาหารที่มีน้ำมันและอาหารแปรรูป

    อาหารที่มีน้ำมันมาก เช่น ขนมทอด ขนมปังทอด หรือเบอร์เกอร์อาจทำให้ย่อยยากและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง ควรเลือกอาหารที่ย่อยง่ายและมีประโยชน์ เช่น ข้าวต้ม นมถั่วเหลือง หรือขนมปังโฮลเกรนแทน

    การข้ามมื้อเช้าช่วยให้ร่างกายเบาขึ้นหรือไม่?

    บางคนเชื่อว่าการข้ามมื้อเช้าจะทำให้ร่างกายเบาขึ้น แต่สำหรับผู้ที่อายุเกิน 60 ปี การข้ามมื้อเช้าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

    การข้ามมื้อเช้าสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย วิงเวียน และอาจถึงขั้นเป็นลมได้ กระเพาะอาหารที่ว่างนานเกินไปก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะ

    การไม่ทานอาหารเช้าจะทำให้กระบวนการเผาผลาญผิดปกติ ร่างกายสะสมไขมันและเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้หลายคนที่ข้ามมื้อเช้าจะมีแนวโน้มทานมื้อกลางวันมากเกินไป ซึ่งจะเพิ่มความดันให้กระเพาะอาหารและทำให้เกิดอาการย่อยไม่ดีและน้ำหนักขึ้น

    เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเลือกอาหารเช้าที่ย่อยง่าย อุดมไปด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำมันมาก ควรเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เช่น โยเกิร์ต ซีเรียลธัญพืช หรือถั่วต่างๆ และควรผสมผสานมื้อเช้ากับการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ

    อาหารเช้าไม่ใช่แค่การทานอาหารเพียงมื้อหนึ่ง แต่เป็นการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีสุขภาพ ดังนั้นหลังอายุ 60 ปี ควรให้ความสำคัญกับเวลาและคุณภาพของมื้อเช้าเพื่อรักษาสุขภาพในระยะยาว

  • KUBET – “หนูเล็ก” ยอมบอกความจริงแล้ว เหตุผลที่ประกาศขายพูลวิลล่าที่เขาใหญ่

    ทำเอาหลายคนเสียดายแทนเลย หลังจากที่สาวอารมณ์ดีอย่าง หนูเล็ก ภัทรวดี หรือ หนูเล็ก ก่อนบ่าย ได้ออกมาโพสต์ประกาศขายพูลวิลล่าที่เขาใหญ่ ซึ่งบ้านนั้นสวยมาก และกิจการก็ดูไปได้ดี จนหลายคนอยากรู้ความจริงว่าทำไมถึงขาย

    จนล่าสุด หนูเล็ก ก่อนบ่าย ได้ออกมาโพสต์บอกความจริงถึงเหตุผลที่ขายแล้ว กับโพสต์นี้ที่เขียนแคปชั่นไว้ว่า

    “บ้านคือดีมากแต่ทำไมขายหลายคนอยากรู้ความจริง

    หนูมีโปรเจ็คใหม่ ไม่อยากกู้ธนาคาร แค่นั้นเองเลยค่ะ ถ้ามีใครให้ยืมเงิน 0% ก็จะไม่ขาย เคยโพสต์แล้ว 55555

    บ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ บ้านเลขที่ 218/21 ต.หมูสี อ.ปากช่อง พื้นที่ 139.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 228 ตร.ม. สระว่ายน้ำ ขนาด 3×7 เมตร สระว่ายน้ำระบบเกลือซีทรู ขนาด 3×7 เมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำพักได้ไม่เกิน 14 ท่าน 3 ห้องนอน3 ห้องน้ำ”

    และลงท้ายที่ หนูเล็ก บอกว่าจะให้ราคาพิเศษ ให้ทักมาได้เลย

  • KUBET – รพ.สัตว์ ถึงกับอึ้ง ผู้หญิงโทรถาม “นอนแก้ผ้าแล้วหมาขึ้นขี่ จะท้องไหม?” แนะให้ไปหาหมอ

    รพ.สัตว์ ถึงกับอึ้ง ผู้หญิงโทรถาม “นอนแก้ผ้าแล้วหมาขึ้นขี่ จะท้องไหม?” เจ้าหน้าที่แนะให้ไปหาหมอ

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ พนักงานหญิงของโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งได้แชร์เคสสุดแปลก หญิงเจ้าของสุนัขโทรมาสอบถามว่า ขณะเธอนอนเปลือยกาย สุนัขของเธอที่ยังไม่ได้ทำหมันขึ้นขี่เธอ เธอจึงกังวลว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ พนักงานแนะนำให้ไปพบแพทย์แผนกสูตินรีเวช แต่ไม่กี่วันต่อมา หญิงคนเดิมโทรกลับมาอีกครั้ง ถามว่า “สุนัขของฉันยังขึ้นขี่ฉันอยู่ตลอด ควรทำอย่างไรดี?” นอกจากนี้ เธอยังโทรไปสอบถามโรงพยาบาลสัตว์หลายแห่งด้วยคำถามเดียวกัน

    ผู้โพสต์เล่าในฟอรั่ม Dcard ว่า เธอทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์ 24 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานตอนเช้าได้รับโทรศัพท์จากหญิงเจ้าของสุนัข โดยหญิงคนนั้นถามว่า “เมื่อคืนฉันนอนอยู่ แล้วสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ของฉันขึ้นขี่ ฉันจะตั้งครรภ์ไหม?” และ “ฉันนอนเปลือยกาย และสุนัขของฉันยังไม่ได้ทำหมัน มันมักจะขึ้นขี่ฉันตอนฉันหลับ”

    ผู้โพสต์จึงตอบว่า “แนะนำให้คุณไปตรวจที่โรงพยาบาล และพาสุนัขไปทำหมันโดยเร็ว” หญิงเจ้าของสุนัขถามว่าควรไปแผนกไหน ผู้โพสต์ตอบว่า “ควรไปสูตินรีเวช”

    ผ่านไปไม่กี่วัน หญิงคนนั้นโทรมาอีกครั้งและถามว่า “สุนัขของฉันยังคงขึ้นขี่ฉันอยู่ ทำอย่างไรดี?” ผู้โพสต์จึงตอบว่า “รีบพาไปให้สัตวแพทย์ประเมินและทำหมันเถอะ!”

    เธอเล่าว่า “คุยกันเกือบครึ่งชั่วโมง วนเวียนอยู่เรื่องเดิม จนภายหลังได้ยินจากโรงพยาบาลสัตว์แห่งอื่นว่าหญิงคนนี้โทรไปสอบถามที่นั่นด้วยคำถามเดียวกัน กลายเป็นเรื่องหลอนในวงการโรงพยาบาลสัตว์เลยทีเดียว”

    หลังจากโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น เช่น

    • “ข้อมูลแน่นมาก แต่เธอควรไปพบจิตแพทย์ด้วยนะ”
    • “มนุษย์กับสุนัขมีความแตกต่างของโครโมโซม ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้”
    • “ถึงจะไม่ตั้งครรภ์ แต่ไม่รู้ว่าเธออยากหยุดพฤติกรรมนี้จริง ๆ หรือแค่คิดว่าไม่ท้องเลยปล่อยให้เกิดขึ้นต่อไป ถ้าอยากหยุด ควรฝึกให้สุนัขนอนในกรงก่อนนอน”