Blog

  • KUBET – หมอญี่ปุ่นทดลองเอง กินปลา-ปลากระป๋อง ทุกมื้อติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ผลตรวจเลือดน่าทึ่ง

    หมอญี่ปุ่นทดลองเอง กินปลา-ปลากระป๋อง ทุกวัน 3 มื้อ ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ผลตรวจเลือดน่าทึ่ง  

    การมีนิสัยการกินที่ดีช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย ล่าสุด นายแพทย์โอไดระ เท็ตสึยะ (大平哲也) แพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา และผู้ที่ติดตามศึกษาพฤติกรรมของคนสุขภาพดีมายาวนาน เปิดเผยว่า หนึ่งในจุดร่วมของคนสุขภาพดีคือ พวกเขารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเขาเคยทดลองกินปลา 3 มื้อ ทุกวันติดต่อกัน 3 สัปดาห์ โดยไม่แตะเนื้อสัตว์ชนิดอื่นเลย ปรากฏว่าไขมันในเลือดลดลงถึงครึ่งหนึ่ง และเลือดยังใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    ในหนังสือเล่มใหม่ของเขาชื่อ “พฤติกรรมเล็กๆ ของคนสุขภาพดีที่พบจากการติดตาม 10,000 คน นาน 60 ปี” (追蹤1萬人60年後發現的健康者小習慣) โอไดระระบุว่า ยิ่งคนเรามีสุขภาพดีเท่าใด ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะพัฒนานิสัยที่ดีต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัว เป็นเหมือนความเคยชิน และหนึ่งในนั้นคือการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

    โอไดระกล่าวว่า อาหารแต่ละชนิดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นการรับประทานอย่างสมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่ากินอาหารเพียงไม่กี่ชนิดซ้ำๆ แต่ในบรรดาอาหารทั้งหมด “ผักและปลา” เป็นกลุ่มที่แทบไม่มีข้อเสีย โดยเฉพาะปลาซาบะ ปลาซาร์ดีน และปลาแซนมะ ที่ถือว่าดีต่อสุขภาพมาก

    เขาเล่าว่า ตนเคยทดลองกินปลาแทนเนื้อสัตว์ชนิดอื่นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยทั้งอาหารเช้า กลางวัน และเย็น เขากินปลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาดิบและปลาซาบะกระป๋อง เพราะเขาไม่ถนัดทำอาหารที่ซับซ้อน

    ผลลัพธ์จากการทดลองทำให้เขาประหลาดใจ เพราะระดับไตรกลีเซอไรด์ หรือไขมันในเลือดลดลงเกือบครึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากลับมากินเนื้อสัตว์อื่นตามปกติ ค่าไขมันในเลือดก็กลับมาเท่าเดิมภายใน 1 สัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าการกินปลานั้นส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าเนื้อชนิดอื่นอย่างชัดเจน

    โอไดระยังแนะนำเพิ่มเติมว่า คนจำนวนไม่น้อยหลีกเลี่ยงการกินปลาเพราะคิดว่าทำอาหารยากหรือยุ่งยากเกินไป แต่อันที่จริงสามารถเลือกใช้ “ปลากระป๋อง” เป็นทางเลือกได้ เช่น ปลาซาบะกระป๋อง หรือปลาทูน่ากระป๋อง ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ควรหลีกเลี่ยงปลากระป๋องแบบย่างซีอิ๊วหรือเคลือบน้ำตาล เช่น ปลาซาร์ดีนย่างซอส หรือปลาแซนมะย่างซอส เพราะมีปริมาณเกลือและน้ำตาลสูงเกินไป

  • KUBET – หวยลาววันนี้ 14 พฤษภาคม 2568 ผลหวยลาววันนี้ ออกอะไร

    ลุ้นสด หวยลาววันนี้ 14/05/68 ถ่ายทอดสดหวยลาว หวยลาวล่าสุด หวยลาวพัฒนา 14 พฤษภาคม 2568 หวยลาวย้อนหลัง หวยลาว 6 ตัว วันนี้ออกอะไร งวด 14 พฤษภาคม 2568 Laolottery หวยลาว ออกรางวัลทุก วันจันทร์ วันพุธ และ วันศุกร์

    ตรวจหวยลาวย้อนหลัง คลิกที่นี่

    รายงานผลหวยลาว 14 พฤษภาคม 2568 (14/05/68) ผลหวยลาว 6 ตัวออกรางวัลดังนี้

    ตรวจหวยลาว งวดประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2568

    เลข 6 ตัว : 967985
    เลข 5 ตัว : 67985
    เลข 4 ตัว : 7985
    เลข 3 ตัว : 985
    เลข 2 ตัว : 85

    เลขนามสัตว์

    12 ມ້າ ม้า

    23 ລີງ ลิง

    01 ປານ້ອຍ ปลาเล็ก

    31 ກຸ້ງ กุ้ง

     

    ผลสลากพัฒนา 5/45

     21 / 31 / 03 / 19 / 23

    เงินรางวัล


    เลข 4 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 6,000 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 6,000,000 กีบ
    เลข 3 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 500 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 500,000 กีบ
    เลข 2 ตัว ถ้าถูกจะได้เงินรางวัลเท่ากับ จำนวนที่ซื้อคูณด้วย 60 ตัวอย่างเช่น ซื้อ 1,000 กีบ จะได้ 60,000 กีบ

  • KUBET – 10 อันดับชื่อเล่น “หญิงไทย” ปี 2568 ที่เป็นชื่อโหล คนใช้ซ้ำกันมากที่สุด มีชื่อใครในนี้บ้าง

    10 อันดับชื่อเล่น “หญิงไทย” ปี 2568 ที่เป็นชื่อโหล คนใช้ซ้ำกันมากที่สุด มีชื่อใครในนี้บ้าง

    ในทุกยุคทุกสมัย ชื่อเล่นถือเป็นสิ่งแรกที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคนไทย แต่รู้หรือไม่ว่า บางชื่อก็ฮิตจนกลายเป็น “ชื่อโหล” ที่พบเห็นซ้ำบ่อยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือที่ทำงาน

    จากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งออนไลน์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลายแห่ง พบ 10 อันดับ ชื่อเล่นหญิงไทยที่คนใช้ซ้ำกันมากที่สุดในปี 2568 ดังนี้

    10 อันดับชื่อเล่นหญิงไทยยอดฮิต ที่พบซ้ำบ่อยที่สุด

    1. พลอย – ชื่อสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าจะยุคไหนก็ยังคงความนิยม เพราะเรียกง่าย ความหมายดี และดูหรูหรา
    2. มายด์ – ชื่อที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน และทันสมัย
    3. มินท์ – ได้แรงบันดาลใจจากกลิ่นหอมของสมุนไพร ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา
    4. เมย์ – ชื่อยอดนิยมตลอดกาล ด้วยเสียงที่สั้นกระชับและดูอินเตอร์
    5. มุก – ชื่อนี้ให้ความรู้สึกเรียบหรู มีความหมายเปรียบได้กับความงามแบบธรรมชาติ
    6. เฟิร์น – อินเทรนด์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ รู้สึกถึงความน่ารัก สดใส
    7. ออม – ชื่อที่สื่อถึงความประหยัด น่าทะนุถนอม และเป็นที่รักของคนรอบข้าง
    8. เกด – ชื่อที่เรียกง่าย ติดหู และยังคงพบได้เรื่อยๆ ในทุกยุค
    9. น้ำ – เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ เป็นชื่อที่เรียกแล้วรู้สึกเย็นใจ
    10. เนย – ชื่อสุดคิ้วต์ที่ติดอันดับมาหลายปี ด้วยเสียงหวานและภาพลักษณ์น่ารัก

    ชื่อโหล = ฮิต + ใช้ง่าย + ฟังแล้วติดหู

    ชื่อเหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบที่ช่วยให้จดจำง่าย ฟังดูอบอุ่น และเข้ากับบุคลิกของผู้หญิงไทยหลายคน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อพูดถึงชื่อเล่นยอดนิยม เราจะเห็นรายชื่อเหล่านี้ปรากฏซ้ำอยู่เสมอ

    หากใครกำลังตั้งชื่อลูกสาว หรืออยากตั้งชื่อในโซเชียลใหม่ ลองดู 10 ชื่อนี้ไว้เป็นไอเดีย แต่ถ้าอยากยูนีคไม่ซ้ำใคร อาจต้องมองหาชื่อที่แตกต่างจากลิสต์นี้ไว้ด้วยนะ

    อ้างอิงข้อมูลจาก:

  • KUBET – ตื่นเช้ามาหิวแค่ไหน ก็อย่ากินขนมปัง 4 ชนิดนี้ แค่กัดคำเดียว เหมือนเพิ่มโรคให้ตัวเอง

    ตื่นเช้ามาหิวจนท้องร้อง ก็ห้ามกินขนมปัง 4 ชนิดนี้เด็ดขาด แค่กัดคำเดียว ก็เหมือนเพิ่มโรครุมเร้าให้ตัวเอง

    แม้จะสะดวกและหลายคนชื่นชอบ แต่ขนมปังบางชนิดก็ไม่เหมาะกับการรับประทานเป็นอาหารเช้า โดยเฉพาะเมื่อท้องยังว่างอยู่

    อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญ หลังจากการนอนหลับยาวนาน ร่างกายขาดพลังงานและอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบย่อยอาหารเหมือนกับการ “รีสตาร์ท” แต่หลายคนมักละเลยมื้อเช้า ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่หลายคนไม่รู้ คือการเลือกอาหารเช้าผิดก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพไม่น้อย เช่น ขนมปังที่แม้จะได้รับความนิยมเพราะรวดเร็ว หลากหลาย และช่วยให้อิ่มท้อง แต่ไม่ใช่ทุกชนิดที่เหมาะกับการรับประทานตอนเช้า

    ดร.อู๋ ซี ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแม่และเด็กจากกวางโจว ประเทศจีน แนะนำให้หลีกเลี่ยงขนมปัง 4 ชนิดนี้สำหรับมื้อเช้า โดยเฉพาะเด็กและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

    1. ขนมปังที่หวานจัด
      ขนมปังหวาน โดยเฉพาะชนิดที่ใส่น้ำตาลมาก เนย และสารให้ความหวานสังเคราะห์ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ งานวิจัยในวารสาร The Lancet Diabetes & Endocrinology ชี้ว่าการบริโภคน้ำตาลเสริมเกินควรเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจได้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.อู๋ ซี เตือนว่า หากรับประทานขนมปังหวานคู่กับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ยิ่งในตอนเช้าที่ระดับน้ำตาลมักแปรปรวนง่าย จนอาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันด้วย

    1. ขนมปังขาวที่ผ่านการขัดสี
      ขนมปังขาวทำจากแป้งสาลีที่ผ่านการขัดสีจนสูญเสียใยอาหารและสารอาหารสำคัญ การรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เมื่อนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า แม้จะให้ความรู้สึกอิ่ม แต่กลับให้พลังงานไม่ยาวนาน เพราะขาดใยอาหารและสารอาหารที่จำเป็น

    งานวิจัยหลายฉบับพบว่า การบริโภคอาหารที่ทำจากแป้งขัดสีบ่อย ๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และปัญหาการเผาผลาญอื่น ๆ ดร.อู๋ ซี แนะนำให้เลือกขนมปังโฮลวีตหรือขนมปังธัญพืชแทน เพราะอุดมไปด้วยใยอาหารและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ได้

    1. ขนมปังไส้เนื้อแปรรูป
      ขนมปังไส้เนื้อแปรรูปมักมีไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจ หากรับประทานเป็นประจำจะยิ่งเป็นอันตราย นอกจากนี้ เนื้อแปรรูปยังถูกองค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาหารที่อาจก่อมะเร็งหากบริโภคติดต่อกันในระยะยาว

    การรับประทานขนมปังชนิดนี้ในตอนเช้า โดยเฉพาะตอนท้องว่าง อาจทำให้รู้สึกแน่นท้อง ย่อยยาก เนื่องจากมีไขมันและสารเติมแต่งในปริมาณสูง

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The British Medical Journal พบว่า การบริโภคอาหารแปรรูป โดยเฉพาะที่มีไขมันอิ่มตัวและเกลือสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง

    ดร.อู๋ ซี แนะนำว่า หากอยากรับประทานขนมปังกับเนื้อ ควรเลือกใช้เนื้อสดและปรุงเองที่บ้าน จะปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากกว่า

    1. ขนมปังเก่า แข็งกระด้าง
      หลายคนมักซื้อขนมปังไว้จำนวนมากเพื่อกินมื้อเช้าในหลายวัน หรือเปิดขนมปังไว้แต่กินไม่หมด แล้วเก็บไว้ข้ามคืนเพื่อนำมากินต่อในวันถัดไป แต่ขนมปังที่เก็บไว้นาน โดยเฉพาะที่แข็ง แห้ง หรือเก็บไม่ถูกวิธี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

    ดร.อู๋ ซี อธิบายว่า ขนมปังประเภทนี้ไม่เพียงแต่สูญเสียรสชาติและคุณค่าทางอาหารเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย การเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุโดยที่เราไม่ทันสังเกตอีกด้วย

    งานวิจัยจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ผ่านกระบวนการหรือเก็บไว้นานเกินไป อาจทำให้ร่างกายสะสมไขมันทรานส์และสารกระตุ้นการอักเสบ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

    นอกจากนี้ เชื้อแบคทีเรียและสารพิษที่สะสมในขนมปังที่เก็บไว้นาน ยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และรบกวนสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ได้อีกด้วย

  • KUBET – ถึงบ้านจะคับแคบแค่ไหน ก็อย่าวาง 3 สิ่งนี้ไว้ใกล้เตาในครัว แต่คนไทยทำทุกอย่าง

    ถึงบ้านจะคับแคบแค่ไหน ก็อย่าวาง 3 สิ่งนี้ไว้ใกล้เตาในครัวเด็ดขาด เสี่ยงไฟไหม้และเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

    ไม่ใช่อาหารทุกชนิดที่จะวางไว้ใกล้เตาได้ โดยเฉพาะเตาที่ใช้ไฟ เช่น เตาแก๊ส หรือเตาถ่าน เพราะอาจทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพเร็ว แถมยังเสี่ยงต่อสุขภาพหากนำมารับประทาน

    ห้องครัวอาจเป็นพื้นที่คุ้นเคย แต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งความเสี่ยงเรื่องความสะอาด อุบัติเหตุจากของมีคม หรือแม้กระทั่งไฟไหม้ ดังนั้น นอกจากวิธีการปรุงอาหารแล้ว การจัดวางสิ่งของในครัวก็สำคัญไม่แพ้กัน

    แม้พื้นที่ครัวจะคับแคบเพียงใด ก็ยังมีของบางอย่างที่ไม่ควรเก็บไว้ใกล้เตาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอาหารบางประเภทที่แม้จะมีประโยชน์แค่ไหน หากวางใกล้ความร้อนก็อาจบูดเสียเร็ว หรือกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้

    เพื่อความปลอดภัยของคุณและคนในบ้าน อย่าวาง 3 สิ่งนี้ไว้ใกล้เตาเด็ดขาด

    1. น้ำมันพืช

    น้ำมันพืชเป็นของจำเป็นในการทำอาหารทุกวัน แต่หากวางไว้ใกล้เตาแก๊ส เตาถ่าน หรือแหล่งความร้อนใด ๆ ก็อาจเสี่ยงต่อสุขภาพได้มาก เพราะเมื่อสัมผัสความร้อนสูงเป็นเวลานาน น้ำมันจะเกิดการออกซิไดซ์และเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดสารอันตราย เช่น อัลดีไฮด์และอะโครลีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ การอักเสบเรื้อรัง และมะเร็งตามคำเตือนจากหลายงานวิจัย

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ หากน้ำมันพืชบรรจุอยู่ในขวดพลาสติก ความร้อนจากเตาอาจทำให้พลาสติกละลายหรือเปลี่ยนรูป ปล่อยสารพิษอย่าง BPA หรือสารเคมีอื่นที่คล้ายกันออกมา และซึมย้อนกลับเข้าสู่น้ำมันได้

    เมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านี้ผ่านทางอาหารเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อ ตับ ไต ระบบฮอร์โมน และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติของการเผาผลาญ

    ดังนั้นควรเก็บน้ำมันพืชให้ห่างจากเตาและแหล่งความร้อน เพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน

    Anna Tarazevich

    2. ของแห้งประเภทผง

    แป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า รวมถึงเครื่องเทศบดต่าง ๆ เช่น พริกไทยป่น พริกป่น อบเชย หรือผงกะหรี่ ล้วนมีเนื้อผงละเอียดที่สามารถฟุ้งกระจายได้ง่ายเมื่อเปิดฝาหรือคน

    หากวางใกล้เตา ผงเหล่านี้อาจสัมผัสกับความร้อนจัด หรือเกิดประกายไฟจากเตาแก๊ส ทำให้เกิดอันตรายจากการลุกไหม้ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดอย่างห้องครัว

    นอกจากนี้ ครัวเป็นพื้นที่ที่มีไอน้ำ ไขมัน และอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งทำให้ผงแห้งเหล่านี้ดูดความชื้น เกิดการจับตัวเป็นก้อน ราขึ้น หรือเสื่อมคุณภาพได้ง่าย การใช้ของแห้งที่เสียหรือมีเชื้อราอาจทำให้อาหารเสียรส และเสี่ยงต่ออาการแพ้ ปวดท้อง หรือการสะสมสารพิษในร่างกายระยะยาว

    ดังนั้น ควรปิดฝาภาชนะให้สนิท เก็บไว้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเท และห่างจากเตาให้มากที่สุด

    3. อาหารกระป๋อง

    อาหารกระป๋อง เช่น เนื้อ ปลา หรือผักผลไม้แปรรูป มักบรรจุในกระป๋องโลหะหรือภาชนะพลาสติก แม้ไม่จำเป็นต้องแช่เย็นเสมอไป แต่หลายคนมักวางไว้ใกล้เตาด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกหรือพื้นที่ครัวจำกัด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว

    เมื่อกระป๋องหรือภาชนะต้องสัมผัสกับความร้อนสูงเป็นเวลานาน วัสดุภายนอกอาจเสื่อมสภาพหรือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้สารอันตราย เช่น ดีบุก อะลูมิเนียม หรือ BPA จากชั้นเคลือบภายในรั่วไหลเข้าสู่อาหารได้

    นอกจากจะทำให้รสชาติและคุณภาพของอาหารลดลงแล้ว การบริโภคสารเหล่านี้สะสมในร่างกายยังส่งผลต่อการทำงานของตับ ไต ระบบประสาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงเรื้อรังหรือมะเร็งในระยะยาวได้อีกด้วย

    ทางที่ดี ควรเก็บอาหารกระป๋องไว้ในที่เย็น แห้ง ห่างจากแหล่งความร้อน เพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน

    นอกจากนี้ หากภาชนะบรรจุอาหารปิดแน่นเกินไปและได้รับความร้อนสูง อาจทำให้ความดันภายในเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดการระเบิดของกระป๋อง ส่งผลให้เกิดแผลไฟลวก บาดเจ็บ หรือเสี่ยงไฟไหม้ในครัวได้

  • KUBET – คำเตือนจากแพทย์ “เปิดพัดลมนอน” สบายตอนหลับ ลำบากตอนตื่น ทำร้ายสุขภาพไม่รู้ตัว

    พัดลมเป็นอุปกรณ์คลายร้อนที่ได้รับความนิยมและขาดไม่ได้ในช่วงหน้าร้อน แต่คุณแน่ใจหรือไม่ว่าใช้พัดลมอย่างถูกวิธีแล้ว?

    ในฤดูร้อน ความต้องการใช้พัดลมของผู้คนก็เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ดร.นาเฮด อาลี (Naheed Ali) แพทย์จากสหรัฐฯ เตือนว่า การใช้พัดลมไม่ถูกวิธีอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้

    จากบทสัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Daily Mail ดร.อาลีระบุว่า การเปิดพัดลมในห้องนอนตลอดคืนสามารถ “สร้างความเครียดแฝงต่อร่างกาย” ได้ คนจำนวนมากมีพฤติกรรมเปิดพัดลมเป่าตัวตรง ๆ ตลอดทั้งคืน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพหลายประการ เช่น

    1. อาจทำให้เจ็บแน่นหน้าอกในผู้ป่วยโรคหืด

    ดร.อาลีอธิบายว่า การเปิดพัดลมเป่าตรง ๆ ตลอดทั้งคืนอาจส่งผลต่อผู้ที่เป็นโรคหืดหรือมีภูมิแพ้ได้ เพราะลมจากพัดลมสามารถพัดพาสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง รังแคจากสัตว์เลี้ยง ละอองเกสร หรือเส้นใยผ้า เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเข้าไปลึกถึงปอดและทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกเมื่อตื่นนอน

    2. ทำให้จมูกและลำคอแห้ง

    มีการศึกษาระบุว่า อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับควรอยู่ที่ 16-18°C ทำให้หลายคนเลือกใช้พัดลมช่วยให้หลับสบายในวันที่อากาศร้อน แต่การเปิดพัดลมเป่าตัวตรง ๆ ตลอดคืนสามารถทำให้จมูกและลำคอแห้ง โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอน

    ดร.อาลีเผยกับ Daily Mail ว่า “ภาวะจมูกและลำคอแห้ง ไม่เพียงทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ แต่ยังเพิ่มการหลั่งเมือกในโพรงจมูกและไซนัส รวมถึงทำให้เกิดเสมหะในลำคอ ซึ่งอาจนำไปสู่การไอ เสียงแหบ หรือคัดจมูกตลอดวันได้”

    3. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

    การให้พัดลมเป่าตรงใส่ร่างกายขณะนอนหลับอาจทำให้เกิดปัญหากับกล้ามเนื้อ ดร.อาลีอธิบายว่า อากาศเย็นจากพัดลมที่สัมผัสกล้ามเนื้อและข้อต่อเป็นเวลานาน (เช่น 7-8 ชั่วโมง) อาจทำให้อุณหภูมิของเนื้อเยื่อลดลง กล้ามเนื้อที่เย็นลงจะหดตัวและแข็งเกร็งโดยอัตโนมัติ เป็นกลไกป้องกันตัวเองของร่างกาย และอาจทำให้รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้

    2 เคล็ดลับการใช้พัดลมตอนกลางคืนให้ปลอดภัย

    จากคำแนะนำของดร.นาเฮด อาลี และข้อมูลจากเว็บไซต์ Sleep Foundation ผู้ใช้พัดลมสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วย 2 วิธีง่าย ๆ ดังนี้

    • ใช้พัดลมที่มีระบบตั้งเวลา (Timer): ดร.อาลีแนะนำให้ตั้งเวลาให้พัดลมปิดอัตโนมัติหลังจากผ่านไป 90 นาที

    • อย่าให้พัดลมเป่าตรงใส่ตัวหรือเตียง: ให้ตั้งพัดลมให้ห่างจากเตียง และเปิดโหมดหมุนส่าย เพื่อกระจายลมทั่วห้อง แทนที่จะเป่าจุดเดียวตลอดเวลา

    นอกจากนี้ Sleep Foundation ยังแนะนำให้ทำความสะอาดพัดลมอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงใบพัด เพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ภายในห้อง

    ดร.อาลียังแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรซักผ้าปูที่นอนและปลอกผ้าห่มเป็นประจำ เพื่อลดฝุ่นละอองและเส้นใยผ้าในห้อง และควรวางแก้วน้ำไว้ข้างเตียง เพื่อดื่มเมื่อตื่นมากลางดึกด้วยอาการคอแห้ง

  • KUBET – รู้จัก “จี๋ สุทธิรักษ์” ทายาทคนดังพ่อนักร้อง แม่นางเอก นักเรียนอังกฤษสู่พระเอกร้อยล้าน

    จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร ทายาทคนบันเทิงลูกชายนักร้องยุค 90 พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร เปิดเส้นทางชีวิตและเส้นทางบันเทิง พระเอก 100 ล้าน

    ประวัติ จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร

    สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร หรือที่แฟนๆ รู้จักกันในชื่อ จี๋ เกิดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2537 เป็นลูกชายคนโตของร็อกเกอร์ชื่อดังยุค 90s เจี๊ยบ-พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร ส่วนคุณแม่คือ แจ๊คกี้-ณัฐรดา อภิธนานนท์ เคยเป็นนักแสดงหญิงมากฝีมือในอดีตเช่นกัน

    จี๋ มีน้องชายอีกหนึ่งคนอายุห่างกัน 18 ปี เขาเคยเล่าถึงความผูกพันของตนเองกับน้อง ที่หากมีเวลาว่างจะเล่นเกมด้วยกัน 

     แม้จะเติบโตในครอบครัวที่มีชื่อเสียง แต่เจ้าตัวเคยเล่าว่า ช่วงวัยเด็กของเขาเต็มมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบการบังคับ เขายอมรับว่าเคยเป็นเด็กที่เกเรในระดับที่ควบคุมไม่ได้ ออกไปใช้ชีวิตเองเพราะอยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่คิดได้เริ่มโตแล้วเขาจึงตัดสินใจกลับบ้าน และไปเรียนต่อเมืองนอก

    การศึกษาและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    จี๋ สุทธิรักษ์ เดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ตอนอายุ 16 และกลับมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่เมืองไทย เรียนจบคณะนิเทศาสตร์ สาขาโฆษณาเชิงสร้างสรรค์สื่อการตลาด มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

    ก้าวแรกในวงการ จากพระเอก MV สู่พระเอกจอเงิน

    จุดเริ่มต้นในวงการของเขาแจ้งเกิดจากการแสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง หยุดสงสาร ของเบลล์ นันทิตา จากนั้นเขาก็เริ่มมีผลงานถ่ายแบบ โฆษณา และซีรีส์หลายเรื่อง แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อเขาได้รับบทนำในภาพยนตร์อนงค์ ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ม้ามืดที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท สร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมากกลายเป็นพระเอก 100 ล้านอีกคนของวงการ

    ด้านความรักที่ใครๆ ต่างอยากรู้ 

    จี๋ สุทธิรักษ์ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่ายังโสดสนิท หัวใจว่างยังไม่มีสาวไหนมาเป็นเจ้าของ ซึ่งเขาบอกว่าหากเจอและสปาร์กกันก็ใช่เลย 

  • KUBET – พ่อแม่ภูมิใจสุดๆ ลูกสาว 7 ขวบ ชอบวาดรูปงู แถมได้รางวัล ครูจิตวิทยาเห็นแนะแจ้งตร.

    ลูกสาววัย 7 ขวบ ชอบวาดรูปงู แถมยังคว้ารางวัลได้ พ่อแม่ภูมิใจสุดๆ แต่พอครูจิตวิทยาเห็นผลงานกลับหน้าถอดสี แนะ “แจ้งตำรวจทันที”

    ภาพวาดของเด็กสามารถบอกอะไรกับพ่อแม่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกภายใน อารมณ์ หรือสภาพจิตใจของเด็กในขณะนั้น

    ในหลายกรณี เด็กไม่ได้ปกปิดความคิดของตัวเอง แต่เพียงเพราะยังเล็กเกินไปและยังไม่สามารถสื่อสารได้ชัดเจน เด็กจึงเลือกวิธีสื่อสารในรูปแบบอื่นแทนคำพูด ซึ่งการวาดภาพก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ศิลปะเป็นรูปแบบของการสื่อสารผ่านสายตา เด็กสามารถถ่ายทอดโลกภายในของตนเองผ่านเส้น สี และรูปทรงในแบบเฉพาะตัว บางครั้งผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเด็กไม่ได้ “พูด” ออกมา

    เทียนเทียน เป็นลูกสาววัย 7 ขวบ ของคุณแม่แซ่หลี่ในประเทศจีน เด็กหญิงมีนิสัยขี้อาย ไม่ค่อยพูด และไม่ชอบเข้าสังคม แต่กลับรักการวาดภาพตั้งแต่เล็ก เมื่อเห็นว่าลูกสนใจ คุณแม่จึงส่งเธอไปเรียนศิลปะ

    ไม่นานฝีมือของเทียนเทียนก็พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ผลงานของเธอถูกเลือกไปประกวดอยู่บ่อยครั้ง และคว้ารางวัลมาได้หลายครั้ง

    ครอบครัวรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณแม่สังเกตว่าลูกสาวมักวาดภาพงูหลากหลายชนิด และเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดรูปร่างประหลาด สีในภาพก็ดูหม่นหมองและมืดทึบ แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่คุณหลี่ก็คิดว่าเป็นเพียงแบบฝึกหัดสร้างสรรค์ในห้องเรียน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก

    หนึ่งในภาพวาดงูเหล่านั้นถึงกับทำให้เทียนเทียนได้รับรางวัลกลับบ้าน ซึ่งยิ่งทำให้แม่รู้สึกภูมิใจในตัวลูกมากขึ้นไปอีก

    แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงในบ่ายวันหนึ่ง

    เพื่อนของคุณหลี่ซึ่งเป็นครูสอนจิตวิทยาแวะมาเยี่ยมบ้าน และบังเอิญเห็นภาพวาดที่เทียนเทียนเคยคว้ารางวัล พอคุณหลี่เล่าอย่างภูมิใจว่านี่คือ “ผลงานชิ้นเอก” ของลูกสาว เพื่อนคนนั้นกลับหน้าถอดสี แล้วรีบบอกอย่างตื่นตระหนกว่า

    “มีความเป็นไปได้ว่าเทียนเทียนอาจเคยเจอเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจที่โรงเรียน เธอควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เด็ก และแจ้งตำรวจทันที”

    คุณหลี่ถึงกับนิ่งงัน สับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพาลูกไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

    หลังจากทำการบำบัดอยู่พักหนึ่ง เทียนเทียนก็เริ่มเปิดใจและเล่าว่าเธอเคยถูกเพื่อนกลั่นแกล้งที่โรงเรียน ด้วยความหวาดกลัว เธอไม่กล้าบอกใคร จึงระบายทุกอย่างผ่านภาพวาดแทนคำพูด

    ตอนนั้นเองที่คุณหลี่ถึงได้เข้าใจว่า ลูกไม่ได้เงียบเฉย แต่เธอกำลังขอความช่วยเหลือ เพียงแค่ผู้ใหญ่ฟังไม่เป็นเท่านั้นเอง

    Lisa from Pexels

    เมื่อเด็ก “พูด” ผ่านภาพวาด พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

    การที่เด็กเลือกวาดภาพเป็นวิธีการแสดงออกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะในความจริง ทุกเส้นสี ทุกโทนสี และทุกภาพในงานศิลปะนั้นเต็มไปด้วยสัญญาณเล็กๆ ที่สะท้อนถึงความรู้สึก บุคลิกภาพ และสภาวะจิตใจของเด็ก

    1. ความรู้สึกที่แสดงออกผ่านการจัดองค์ประกอบของภาพ

    เด็กยังไม่มีความสามารถในการแสดงความรู้สึกได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดหรือภาษากายเหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้นการวาดภาพจึงเป็น “ภาษาพิเศษ” ที่เด็กใช้ในการสื่อสารความรู้สึก เด็กที่มีอารมณ์ดีมักจะวาดภาพได้ชัดเจน มีการจัดองค์ประกอบเรียบร้อย สีสันสดใส ขณะที่เด็กที่รู้สึกเศร้า วิตกกังวล หรือไม่มั่นใจจะสะท้อนผ่านภาพที่วาดออกมาเป็นภาพที่ยุ่งเหยิง สีทึม หรือเต็มไปด้วยภาพน่ากลัว

    1. สีสันบอกถึงบางส่วนของบุคลิกภาพ

    เด็กแต่ละคนมักมีสีที่ชื่นชอบเมื่อลงมือวาดภาพ ซึ่งสีเหล่านี้สามารถสะท้อนถึงบุคลิกภาพและสภาวะจิตใจของเด็กได้บางส่วน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้

    • เด็กที่เลือกสีแดงมักเป็นคนกระตือรือร้น ร่าเริง
    • เด็กที่เลือกสีฟ้ามักจะเป็นคนสงบ ใจเย็น และคิดลึก
    • เด็กที่ใช้สีดำ เทา หรือโทนสีมืดอาจกำลังมีอารมณ์แง่ลบ กังวล หรือกลัว
    1. ภาพวาดสะท้อนความคิดลึกๆ

    เด็กมักวาดสิ่งที่คิดในใจ บางครั้งอาจเป็นคนที่พวกเขารัก สิ่งที่พวกเขาปรารถนา หรือสิ่งที่ทำให้พวกเขากังวล เช่น ของเล่นที่อยากได้แต่ยังไม่ได้ซื้อ เพื่อนที่ทำร้ายจิตใจ หรือแม้แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้อาจถูก “แสดงออก” ผ่านภาพวาดที่เฉพาะเจาะจง

    ไม่ใช่ทุกภาพที่แปลกประหลาดจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แต่หากพ่อแม่เห็นลูกวาดภาพซ้ำๆ ด้วยธีมเดิม หรือใช้ภาพแปลกๆ สีทึมๆ ควรใส่ใจและไม่มองข้าม เพราะอาจเป็นการส่งสัญญาณเงียบๆ ที่เด็กต้องการให้ผู้ใหญ่รับรู้ เพราะบางครั้งในโลกที่ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ การวาดภาพคือวิธีที่ลูกกำลังตะโกนว่า “ฉันต้องการให้คุณฟัง”

  • KUBET – บทเรียนชีวิต “พระเอกที่เจ้าชู้ที่สุด” เปลี่ยนเมียมาแล้ว 12 คน บั้นปลายกรรมตามสนอง

    บทเรียนชีวิต พระเอกเวียดนามที่เจ้าชู้ที่สุด ควงผู้หญิงไม่ซ้ำ อยากได้ใครต้องได้ ชะตากรรมบั้นปลายตกอับอย่างน่าเวทนา

    เทือง ติน (Thương Tín) เกิดปี 1956 ที่เมืองฟานรัง จังหวัดนิญถ่วน ประเทศเวียดนาม เขาเคยเป็นหนึ่งในพระเอกหนังชื่อดังที่สุดของเวียดนามในช่วงทศวรรษ 1980–1990 ด้วยผลงานการแสดงมากกว่า 200 เรื่อง ที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจผู้ชม อย่างไรก็ตาม แสงไฟแห่งความรุ่งโรจน์ไม่สามารถปิดบังโศกนาฏกรรมที่เขาต้องเผชิญในวัยชราได้

    หนุ่มหล่อมาดเซอร์ผู้เคยเป็นสัญลักษณ์ของชายในฝัน

    ด้วยรูปลักษณ์หล่อเหลาคมเข้มและมาดเซอร์ เทือง ติน (Thương Tín) กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายในวงการบันเทิงเวียดนามอย่างรวดเร็ว เขาเคยเผยว่าในช่วงที่อาชีพรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขารับบทนำถึง 12 เรื่องต่อปี มีทั้งบ้าน รถ และได้รับความรักจากแฟนๆ อย่างล้นหลาม

    แต่แล้วเสน่ห์ของชื่อเสียงก็ค่อยๆ พาเขาหลงทาง เขาถูกดึงเข้าสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยปาร์ตี้และความรักอื้อฉาว จนเริ่มสูญเสียตัวเอง

    เจ้าชู้ ใช้เงินฟุ่มเฟือย สุดท้ายต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่ตกต่ำ

    เทือง ติน (Thương Tín) เคยถูกขนานนามว่าเป็น “พระเอกที่เจ้าชู้ที่สุดในวงการบันเทิงเวียดนาม” เขาเคยสารภาพว่ามีความสัมพันธ์ชั่วคืนจำนวนมาก และมีผู้หญิงที่เคยอยู่กินกับเขาแบบสามีภรรยามากกว่า 12 คน

    ในบันทึกความทรงจำ เขาเล่าถึงอดีตว่า “สมัยนั้นเฉพาะคนชั้นสูงในไซ่ง่อนเท่านั้นที่เต้นรำ เพราะแพงมาก ค่าหญิง ค่าเครื่องดื่ม ค่าอาหาร รวมๆ แล้วต้องจ่ายเป็นทองไม่ต่ำกว่าสองสามบาท ผมก็เป็นคนชอบเอาชนะ ถ้าเห็นผู้หญิงสวยก็อยากได้มาเป็นของตัวเอง แม้จะไม่รักก็ตาม ไม่ว่าเธอจะเป็นนางงามหรือนางแบบ ผมต้องพิชิตให้ได้”

    ผลจากการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและรักสนุก ทำให้ เทือง ติน ตกอยู่ในสภาพลำบาก เขาเคยใช้ทองถึงสามบาทในคืนเดียว แต่ปัจจุบันกลับไม่มีเงินแม้แต่ 100,000 ด่ง (100 กว่าบาท)

    เขามีลูกชายคนหนึ่งจากการแต่งงานครั้งแรก และในปี 2015 ก็สร้างความตกใจให้สังคมเมื่อเปิดเผยว่ากำลังใช้ชีวิตร่วมกับหญิงสาวอายุน้อยกว่า 33 ปี และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่ความสัมพันธ์นั้นก็จบลงเพราะความแตกต่างด้านอายุและปัญหาทางการเงิน

    ล้มป่วยและบาดเจ็บซ้ำซ้อน จนแทบหมดหนทางรักษา

    ในปี 2021 เขาเกิดอาการเส้นเลือดสมองตีบ ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน แม้รอดชีวิตมาได้ แต่สุขภาพก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

    ปลายปี 2024 เขาประสบอุบัติเหตุจนกระดูกสะบ้าขาขวาหักและข้อเข่าเสื่อม เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น และแพทย์เตือนว่ามีความเสี่ยงพิการถาวรหากไม่ผ่าตัด แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ การผ่าตัดจึงมีความเสี่ยงสูง

    ปัจจุบันอาศัยอยู่กับแม่ชราที่บ้านเกิด 

    ตอนนี้ เทือง ติน แใช้ชีวิตอย่างยากลำบากที่บ้านเกิดในเมืองฟานรัง อยู่กับแม่ที่ชราและอาศัยการดูแลจากญาติ รวมถึงการช่วยเหลือจากนักแต่งเพลง โต เฮี้ยว (Tô Hiếu) สุขภาพของเขาทรุดโทรม ต้องใช้ไม้เท้า 4 ขาในการพยุงตัว และจิตใจก็เต็มไปด้วยความเศร้า

    แม้ร่างกายอ่อนแอ เขาก็ยังมีความหวังจะกลับไปทำงานในโฮจิมินห์ซิตี้เพื่อเลี้ยงชีพ แต่เมื่อได้ยินเสียงจาก โต เฮี้ยว เขาจะร้องขอกลับเข้าเมืองจนไม่ยอมนอน ไม่ยอมกิน ทำให้ครอบครัวต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองพูดคุยกัน เพื่อให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบ

    ชีวิตที่เหมือนบทเพลงโศก… เตือนใจคนในวงการ

    ชีวิตของ เทือง ติน (Thương Tín) เปรียบเสมือนบทเพลงเศร้าที่มีทั้งจังหวะขึ้นและลง จากพระเอกผู้โด่งดัง เขากลับต้องเผชิญความยากจน โรคภัย และความโดดเดี่ยว ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตผิดพลาดในอดีต

    เขาเคยกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “หลายคนพูดว่า ‘เทือง ติน หมดสมัยแล้ว’ หรือ ‘เจอกรรมตามสนอง’ ผมก็เสียใจ แต่พวกเขาก็พูดไม่ผิด ก็แค่พยายามใช้ชีวิตในวันสุดท้ายให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ” คำพูดของเขาสะเทือนใจผู้คนมากมายที่เคยชื่นชมเขาในอดีต

    เรื่องราวของ เทือง ติน ถือเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความไม่ยั่งยืนของชื่อเสียง และความสำคัญของการรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้คุณค่าเงิน สุขภาพ และความสัมพันธ์ที่มั่นคงในระยะยาว

  • KUBET – ราชานักบู๊ในตำนาน จากไป 3 ปี น่าเศร้าคฤหาสน์ 400 ล้าน ถูกทิ้งร้างเจ้าถิ่นยึดครอง

    ราชานักบู๊ในตำนาน จากไป 3 ปี ปัจจุบันคฤหาสน์ 400 ล้าน ที่เคยหรูหราระดับส้วมทองคำ กลายเป็นที่อยู่ของแก๊งเจ้าถิ่น

    เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วสำหรับการจากไปของ หวังอวี่ (王羽) หรือที่รู้จักในชื่อสากลว่า จิมมี่ หวัง อวี่ (Jimmy Wang Yu) เขาเป็นนักแสดง ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ชาวไต้หวัน เจ้าของตำนาน นักดาบแขนเดียว จากภาพยนตร์เรื่อง The One-Armed Swordsman (1967) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “เดชไอ้ด้วน”

    หวังอวี่ เสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายน ปี 2022 โดยก่อนเสียชีวิตเขาได้ทุ่มเงินกว่า 400 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (440 ล้านบาทไทย) สร้างคฤหาสน์เดี่ยวหรูหราในเขตซินเตี้ยน นิวไทเป ไต้หวัน โดยมีพื้นที่ใช้สอยภายในประมาณ 1,800 ตารางเมตร หลังจากเขาเสียชีวิต บ้านหลังนี้ถูกขายต่อให้เพื่อนคนหนึ่ง แต่หลังจากมีการรีโนเวต ก็ยังไม่สามารถขายได้

    ปัจจุบันของคฤหาสน์ร้อยล้าน

    เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมาอดีตผู้ประกาศข่าว หลิวซินถง ซึ่งบังเอิญเดินทางไปยังละแวกนั้น ก็ได้เปิดเผยภาพปัจจุบันของคฤหาสน์หลังนี้

    หลิวซินถงเล่าว่า เธออาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกับบ้านเก่าของหวังอวี่ แต่บ้านหลังนั้นกลับไม่มีคนอยู่อาศัยเลยจนถึงปัจจุบัน เธอกล่าวว่า เคยมีคลิปใน YouTube แนะนำคฤหาสน์ของหวังอวี่ไว้ว่า “ภายในหรูหราโอ่อ่า แม้แต่โถส้วมยังทำจากหินอ่อนและทองคำ

    หลิวซินถงเล่าว่า ในวันนั้นเธอไปบ้านเพื่อนบ้านเพื่อชมการตกแต่งใหม่ และพบว่าคฤหาสน์ของหวังอวี่อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ปรากฏว่าบ้านราคากว่า 400 ล้าน กลับไม่มีคนอยู่ และตอนนี้ถูกฝูงลิงเข้ายึดครอง กลายเป็นเจ้าของใหม่ไปแล้ว

    จากภาพที่หลิวซินถงถ่ายไว้ จะเห็นลิงหลายตัวกระจายอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ภาพที่เห็นทำให้ชาวเน็ตต่างพากันแสดงความคิดเห็นว่า “มนุษย์ทำงานหนัก สุดท้ายกลายเป็นบ้านของลิง” 

    ประวัติ หวังอวี่ 

    หวังอวี่ (James Wang Yu) เป็นนักแสดง ผู้กำกับ และมือเขียนบทชาวฮ่องกง-ไต้หวัน ที่แจ้งเกิดจากบทนำในหนังบู๊ The One-Armed Swordsman ปี 1967 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นดาราบู๊แถวหน้า

    หวังอวี่ หรือชื่อจริงว่า หวังเจิ้งเฉวียน เกิดเมื่อ 28 มีนาคม 1943 ที่เซี่ยงไฮ้ ย้ายมาฮ่องกงตั้งแต่เด็ก เขาเรียนศิลปะป้องกันตัวหลายแขนง เช่น คาราเต้ ไทเก็ก และวูตัง และเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำและแข่งรถ ก่อนจะเข้าร่วม Shaw Brothers Studios ในปี 1963

    ในยุค 1970s หวังอวี่เป็นนักแสดงหนังบู๊ที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลก และได้รับการขนานนามจาก The New York Times ว่า “ดาราบู๊เอเชียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อนที่บรูซ ลีจะปรากฏตัว”

    ต่อมาหลังมีคดีความกับ Shaw Brothers หวังอวี่ถูกแบนจากการถ่ายหนังในฮ่องกง จึงย้ายไปไต้หวันและร่วมงานกับค่าย Golden Harvest

     

    ด้านมืดของชีวิต

    ชื่อเสียงของหวังอวี่ไม่ได้มีแค่ในวงการหนัง เขายังมีข่าวพัวพันกับ แก๊งมาเฟียชื่อดังของไต้หวัน

    • ปี 1976 มีเหตุทะเลาะรุนแรงในภัตตาคารซิงหัว ไทเป ทำให้สมาชิกแก๊งคู่แข่งเสียชีวิต เขาถูกจับและถูกตัดสินจำคุก 5 เดือนแต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นปรับ

    • ปี 1981 เขารอดชีวิตจากการลอบสังหารโดยแก๊ง Four Seas แต่มีเพื่อนร่วมโต๊ะเสียชีวิต 3 คน และตามมาด้วยการล้างแค้นนองเลือดระหว่างแก๊ง

    • แม้จะถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมในปี 1981 แต่หวังอวี่พ้นผิดเพราะขาดหลักฐาน

    อาการป่วยและบั้นปลายชีวิต

    ในปี 2011 หวังอวี่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรงอย่างมาก แต่เขามุ่งมั่นทำกายภาพบำบัดเกินคำแนะนำของแพทย์ เช่น ยกแขนวันละ 1,000 ครั้ง และเดินมากกว่าระยะที่กำหนดถึง 3 เท่า จนสามารถกลับมาเดินและพูดได้เกือบปกติ แม้แขนซ้ายจะไม่กลับมาแข็งแรงเต็มที่

    หลังอาการดีขึ้น เขากลับมาทำงานในวงการอีกครั้ง และเคยขับรถไปทำกายภาพบำบัดด้วยแขนข้างเดียว จนลูกสาวทราบเรื่องและจัดหาคนขับรถให้แทน

    หวังอวี่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2022 ที่โรงพยาบาลในไทเป ด้วยวัย 79 ปี

    หวังอวี่คือตำนานแห่งวงการหนังบู๊เอเชีย ผู้เปิดทางให้ภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้จีนโด่งดังไปทั่วโลก แม้ชีวิตนอกจอจะมีด้านมืดและคดีความ แต่ผลงานของเขายังเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังจวบจนทุกวันนี้