Blog

  • KUBET – เช็ค วิธีลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ผ่านแอป Amazing Thailand เริ่ม 1 ก.ค. 68

    วิธีลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ผ่านแอปฯ Amazing Thailand ก่อนเริ่มใช้สิทธิ 1 ก.ค. 68

    โครงการ เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ล่าสุด เปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งผ่านแอปฯ Amazing Thailand แล้ววันนี้ โดยกำหนดเปิดรับ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เวลา 08.00 น. และเริ่มใช้สิทธิได้จริงตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จจะได้รับสิทธิช่วยค่าท่องเที่ยว 40–50% ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด รวมทั้งหมด 500,000 สิทธิทั่วประเทศ ไม่จำกัดเมืองหลักหรือเมืองรอง

    โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาล เห็นชอบโครงการและรายการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 110,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้ในวงเงิน 1,750 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดให้ผู้ประกอบการได้ลงทะเบียนล่วงหน้าไปแล้วนั้น

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง กี่โมง วันไหน ? 

    • วันแรกในการลงทะเบียน: ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เวลา 08.00 น.

    • จำนวนสิทธิ์: ส่วนลดรวม 500,000 สิทธิ์ (5 แสนสิทธิ์) แจกตามลำดับ “มาก่อน ได้ก่อน”

    • เริ่มใช้สิทธิ์: วัน 4 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

     ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ที่ไหน ?

    • ประชาชนทั่วไป ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ผ่านแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand

    ช่องทางโหลดแอป Amazing Thailand

    ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป Amazing Thailand จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ดังนี้

    วิธีลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ผ่านแอปฯ Amazing Thailand

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ต้องติดตั้งแอปฯ Amazing Thailand โดยใช้ iOS และ Android โดยค้นหาคำว่า Amazing Thailand

    1. เข้าแอปพลิเคชั่น Amazing Thailand
    2. เลือก “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง”
    3. กดเลือก “ประชาชนทั่วไป”
    4. สำหรับการเข้าใชงานครั้งแรก เลือก “ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการ” กด “ลงทะเบียน”
    5. อ่านรายละเอียดการลงทะเบียนแล้วกด “ถัดไป”
    6. อ่านและเลือกยอมรับข้อกำหนด และความเป็นส่วนตัว แล้วกด “ยอมรับ”
    7. กด “ดำเนินการต่อ” ถ้าไม่มีแอปฯ ThaID ให้ดำเนินการติดตั้ง
    8. กรอกข้อมูลบัตรประชาชนแล้วกด “ถัดไป”
    9. กรอกข้อมูลที่อยู่ตามบัตรประชาชนแล้วกด “ถัดไป”
    10. กรอกข้อมูลที่อยู่ปัจจุบันแล้วกด “ถัดไป”
    11. ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องแล้วกด “ยืนยันข้อมูล”
    12. กรอกข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานแล้วกด “สมัครสมาชิก”
    13. กรอกรหัส OTP เพื่อยืนยันเบอร์โทรศัพท์แล้วกด “ดำเนินการต่อ”
    14. ตั้งรหัส PIN
    15. ยืนยันรหัส PIN
    16. กด “ดำเนินการต่อ” เพื่อดำเนินการยืนยันตัวตนกับแอปฯ ThaID
    17. รอระบบดำเนินการ
    18. กด “เปิด (Open)” แอปฯ ThaID
    19. ดำเนินการตามขั้นตอนในแอปฯ ThaID
    20. ผู้ที่ผ่านเงื่อนไขจะได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการ หากต้องการเข้าร่วมโครงการให้กด “ยืนยันสิทธิ” หากไม่ต้องการให้กด “สละสิทธิ”
    21. แจ้งรับสิทธิเข้าร่วมโครงการสำเร็จกด “ดำเนินการต่อ”
    22. เข้าสู่หน้าแรก โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง

    เงื่อนไขโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568

    จำนวนสิทธิทั้งหมด 500,000 สิทธิ

    • ที่พัก
      • 1 คน จะได้รับ 5 สิทธิ แบ่งเป็นเมืองหลัก 3 สิทธิ และเมืองน่าเที่ยว 2 สิทธิ
    • คูปอง
      • 500 บาท ต่อ 1 สิทธิ จำนวน 500,000 สิทธิ สามารถใช้ในร้านอาหาร กิจกรรมทางการท่องเที่ยว ฯลฯ ตามที่โครงการกำหนด

    เงื่อนไขการใช้สิทธิ

    • ค่าที่พักวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) รัฐสนับสนุน 50% ของค่าที่พัก แต่ไม่เกิน 3,000 บาท
    • วันหยุด และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รัฐสนับสนุน 40% ของค่าที่พักแต่ไม่เกิน 3,000 บาท

    การดำเนินการโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง

    • ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวลงทะเบียนระหว่างเดือน มิ.ย.-ต.ค. 68
    • นักท่องเที่ยวใช้สิทธิระหว่างเดือน ก.ค.-ต.ค. 68
    • นักท่องเที่ยวจะชำระเงินส่วนแรกโดยตรงให้กับโรงแรม ที่พัก สามารถชำระผ่านธนาคารได้ทุกธนาคาร
    • ผู้ประกอบการรับเงินสนับสนุนส่วนหลังจากรัฐบาลผ่านธนาคารกรุงไทย

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 รัฐช่วยจ่ายเท่าไหร่?

    รัฐบาลออกแบบให้มีหลายทางเลือกขึ้นอยู่กับ “เมือง” และ “วันเดินทาง”

    เที่ยวเมืองหลัก

    • วันธรรมดา (จันทร์–ศุกร์) → รัฐช่วย 40%, จ่ายเอง 60%
    • วันหยุด เสาร์–อาทิตย์/นักขัตฤกษ์ → รัฐช่วย 40%, จ่ายเอง 60%

    เที่ยวเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยว

    • วันธรรมดา (จันทร์–ศุกร์) → รัฐช่วย 50%, จ่ายเอง 50%
    • วันหยุด เสาร์–อาทิตย์/นักขัตฤกษ์ → รัฐช่วย 40%, จ่ายเอง 60%

    เมืองรองคุ้มกว่า! เหมาะกับสายเที่ยวประหยัดที่อยากเปิดมุมใหม่ๆ ของไทย

    เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?

    • ใช้ได้สูงสุด 5 คืน/คน
    • รัฐสมทบค่าโรงแรม สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน
    • ได้ คูปองดิจิทัล ใช้จ่ายใน
      • ร้านอาหาร
      • ร้านของฝาก
      • ร้านค้า OTOP
      • แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ร่วมรายการ

    ทั้งนี้ คาดการณ์กว่า โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 14,125 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 2.67 ล้านคนต่อครั้ง (เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ก.ค.-ต.ค.)

  • KUBET – เริ่มแล้ว! ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 คืนนี้ สำหรับประชาชน

    ครม.เคาะ ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งคืนนี้ สำหรับประชาชน ก่อนเริ่มเที่ยวจริง 1 ก.ค. 68

    รัฐบาลไฟเขียวโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” พร้อมเปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ได้ตั้งแต่คืนนี้ ก่อนเริ่มใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวจริงทั่วประเทศในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568

    เว็บไซต์สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุ ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการและรายการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 110,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา

    โดย โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง อยู่ในงบประมาณดังกล่าว มีการตั้งงบประมาณไว้ในวงเงิน 1,750 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็ได้หารือกับทางผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่า จะเปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งคืนนี้ และจะเริ่มใช้สิทธิ์เที่ยวได้จริงในวันที่ 1 ก.ค. 68

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 วันไหน?

    นายสรวงศ์ ระบุว่า เตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่งได้ภายในคืนนี้ และเริ่มใช้สิทธิ์เที่ยวได้จริง 1 ก.ค. 2568 โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 17 มิ.ย. ททท. ได้เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ที่ไหน?

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 จะมีการประกาศความคืบหน้าให้ทราบอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ 

    คุณสมบัติ เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568

    • เป็นประชาชนชาวไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน

    • ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

    • ใช้สิทธิได้เฉพาะกับโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น

    • ไม่สามารถใช้กับค่าตั๋วเครื่องบินได้

    สิทธิค่าใช้จ่ายจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

    รูปแบบที่ 1 สนับสนุนตามประเภทเมือง

    • เที่ยว เมืองหลัก: รัฐบาลออกให้ 40%, ประชาชนจ่าย 60%

    • เที่ยว เมืองรอง: รัฐบาลออกให้ 50%, ประชาชนจ่าย 50%

    รูปแบบที่ 2 สนับสนุนตามช่วงวันเดินทาง

    • เที่ยว วันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์): รัฐบาลออกให้ 50%, ประชาชนจ่าย 50%

    • เที่ยว วันหยุดเสาร์-อาทิตย์/นักขัตฤกษ์: รัฐบาลออกให้ 40%, ประชาชนจ่าย 60%

    นอกจากนี้ ยังมี คูปองดิจิทัล สำหรับใช้จ่ายในร้านอาหาร ร้านค้าของฝาก ร้านค้าโอท็อป และแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยมูลค่าคูปองจะประกาศอีกครั้งเร็ว ๆ นี้

    เมื่อโครงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ททท. จะติดต่อกลับไปยังผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนไว้ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

    วิธีลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง

    ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ต้องติดตั้งแอปฯ Amazing Thailand โดยใช้ iOS และ Android โดยค้นหาคำว่า Amazing Thailand

    เช็ค วิธีลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง ผ่านแอปฯ Amazing Thailand

    สรุป โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 พร้อมเปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนในคืนวันที่ 24 มิ.ย. และเริ่มเที่ยวได้ตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายที่พักสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง

  • KUBET – เตือน 3 เมนูอร่อย กินน้อยแต่กินบ่อย “ไตพัง” ไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ชายวัย 40+

    ชายวัย 49 ไตวายโดยไม่รู้ตัว เพราะกินของอร่อย 3 อย่างนี้ทุกวัน แม้จะกินแค่นิดเดียว แต่กินต่อเนื่อง ไตใครก็ทนไม่ไหว

    แม้จะรู้ดีว่าอาหารบางอย่างไม่ดีต่อไต แต่ชายชาวจีนคนนี้ก็คิดว่า “กินแค่นิดเดียวคงไม่เป็นไร” จนสุดท้ายได้รับการวินิจฉัยว่าไตวาย

    “ฉันพยายามเตือนให้เขาเปลี่ยนนิสัยการกินหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่เคยฟังเลย… พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ ฉันเจ็บปวดจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่” ภรรยาพูดทั้งน้ำตา

    สามีของเธอ วัย 49 ปี เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตวาย ข่าวนี้ทำให้เธอรู้สึกช็อกและเสียใจอย่างยิ่ง แม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกพฤติกรรมการกินและใช้ชีวิตแบบไม่ดูแลสุขภาพหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ใส่ใจ จนเกิดผลร้ายขึ้นในที่สุด

    โรคไตวาย โดยเฉพาะไตวายเรื้อรัง มักเป็นผลสะสมจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องยาวนาน หลายคนไม่รู้ตัวว่าร่างกายเริ่มมีปัญหา เพราะในระยะแรกอาการมักไม่ชัดเจน จนเมื่อแสดงอาการชัดเจนแล้ว โรคก็มักอยู่ในระยะที่รุนแรงแล้ว

    กลุ่มเสี่ยงหลายกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ชายวัยกลางคน มักละเลยการดูแลสุขภาพไต ทั้งที่พฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันบางอย่าง แม้ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่กลับค่อย ๆ ทำลายไตอย่างช้า ๆ จนถึงจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของไตได้อีกต่อไป

    3 เมนูอร่อยที่แม้กินน้อยแต่กินบ่อย ก็ค่อย ๆ ทำร้ายไตอย่างรุนแรง

    หลายคนโดยเฉพาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศและแม่บ้าน มักมีนิสัยชอบกิน “อาหารรสจัด” โดยเฉพาะของเค็ม อาหารที่มีเกลือ ไขมัน และน้ำตาลสูง แม้จะช่วยให้รู้สึกอร่อยทันใจ แต่กลับสร้างภาระหนักให้กับร่างกาย โดยเฉพาะ “ไต” ซึ่งต้องทำงานหนักในการกรองและขับของเสียออกจากร่างกาย

    ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสีย สารพิษ และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย แต่เมื่อเราบริโภคเกลือมากเกินไป ไตจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเกลือส่วนเกินออกไป

    การรับประทานอาหารเค็มอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้โรคไตลุกลาม และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด

    ความจริงแล้ว คนส่วนใหญ่มักบริโภคเกลือมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ผู้ใหญ่ไม่ควรกินเกลือเกิน 5 กรัมต่อวัน แต่ในความเป็นจริง หลายคนบริโภคเกลือมากกว่าคำแนะนำนี้หลายเท่า

    การกินเค็มไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับไต แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น อาการบวมน้ำ โรคหัวใจ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ซึ่งไตเริ่มมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูลดลง การกินเค็มเป็นเวลานานจะเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดไตวายเรื้อรังได้ในที่สุด

    “อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง” ก็เป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม การกินอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะโรคอ้วนและกลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตโดยตรง ขณะเดียวกัน อาหารที่มีน้ำตาลสูงจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และหากเป็นเช่นนี้ในระยะยาว อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตค่อย ๆ เสื่อมลง

    ดังนั้นการลดปริมาณเกลือ ไขมัน และน้ำตาลลงอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยควบคุมน้ำหนักให้สมดุล แต่ยังช่วยปกป้องไตให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อโรคไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    “การดื่มชาและกาแฟ” เข้มข้นเป็นนิสัยของใครหลายคน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศและผู้สูงอายุ แม้ว่าชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอล ที่ดีต่อสุขภาพ แต่การดื่มชาเข้มเกินไป โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และกลายเป็นภาระต่อร่างกายในระยะยาว

    ชาและกาแฟเข้มมีคาเฟอีนในปริมาณสูง หากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปเป็นเวลานาน จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงไตลดลง ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มปริมาณปัสสาวะ จนร่างกายสูญเสียน้ำและแร่ธาตุ เกิดความไม่สมดุลของน้ำและอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้ไตเสียหายได้

    โดยเฉพาะในผู้ชายวัย 40 ปีขึ้นไป การดื่มชาเข้ม ๆ เป็นประจำอาจเป็น “ภัยเงียบ” ต่อสุขภาพ แม้ในช่วงแรกอาจไม่รู้สึกผิดปกติ แต่ผลกระทบจะสะสมและแสดงออกในระยะยาว

    มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่การทำงานของไตจะเสื่อมเร็วกว่าคนที่ไม่ดื่มชา

    ดังนั้นการดื่มชาในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงชาที่ชงเข้มเกินไป และหลีกเลี่ยงการดื่มชาในช่วงกลางคืน จะช่วยลดภาระของไต และป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพในอนาคตได้

  • KUBET – เตือน! ไปตลาดเห็นผัก 5 ชนิดนี้ขายถูกๆ อย่าซื้อกลับบ้าน เพราะเต็มไปด้วย “เชื้อโรค”

    ไปตลาดเจอผัก 5 ชนิดนี้ขายถูกจนน่าตกใจ อย่าเผลอซื้อติดมือกลับบ้านเด็ดขาด แหล่งสะสมเชื้อโรคทั้งนั้น

    หากคุณเลือกกินผัก 5 ชนิดนี้เพราะเห็นว่าราคาถูกหรือสะดวกต่อการทำอาหาร บอกเลยว่าไม่นานคุณและคนในครอบครัวอาจต้องเผชิญกับสารพัดโรคภัย

    ผักเป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารประจำวันก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกชนิดที่ดูสดใหม่หรือราคาถูกจะปลอดภัยเสมอไป หลายคนไปตลาดเจอของลดราคาแรงก็รีบคว้า หรือเห็นว่าเตรียมง่ายก็ซื้อติดมือกลับบ้าน โดยไม่รู้เลยว่าผักบางอย่างนั้นแฝงสารพิษ และหากบริโภคเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงถึงขั้นเป็นมะเร็งได้

    หากคุณอยากดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัว อย่าหลงกลซื้อผัก 5 ชนิดนี้อีกต่อไป

    1. ถั่วงอกไร้ราก

    ถั่วงอกที่ขาวจั๊วะ อวบอ้วน แต่ไม่มีราก มักไม่ได้เติบโตตามธรรมชาติ แต่เป็นผลผลิตจากการใช้สารเคมีเร่งโต โดยเฉพาะสารกระตุ้นฮอร์โมนต่าง ๆ บางรายถึงกับใช้ยูเรีย แอมโมเนียไนเตรต หรือแม้แต่สารฟอกขาวต้องห้ามในอาหาร ซึ่งล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

    สารเคมีเหล่านี้อาจก่อให้เกิดพิษเฉียบพลัน ทำลายตับและไตหากสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ อาจทำให้เซลล์ในร่างกายเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ อย่าหลงเชื่อแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสะอาดสวยของถั่วงอกไร้รากเด็ดขาด

    2. ข้าวโพดปอกเปลือกหรือที่ถูกแกะเม็ดแล้ว

    ข้าวโพดที่ปอกเปลือกแล้วหรือข้าวโพดต้มที่ถูกแกะเม็ดวางขายสำเร็จ อาจดูสะดวกสำหรับคนซื้อ แต่จริง ๆ แล้วเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรียชั้นดี โดยเฉพาะหากเป็นของที่ค้างคืนและไม่ได้แช่เย็นอย่างเหมาะสม

    เชื้อราอย่าง Aspergillus flavus หรือ Fusarium สามารถสร้างสารพิษ อะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับที่ร้ายแรง นอกจากนี้ ผู้ขายบางรายยังอาจแช่ข้าวโพดด้วยสารเคมีเพื่อให้สีเหลืองสด ดูหวานฉ่ำเกินจริง ทั้งหมดนี้คืออันตรายที่ซ่อนอยู่ในความน่ากิน และเสี่ยงทำลายทั้งตับและไตโดยไม่รู้ตัว

    3. มันฝรั่งที่เริ่มงอกหรือมีเปลือกสีเขียว

    หากเห็นมันฝรั่งมีตาหรือมีผิวสีเขียว ๆ อย่าคิดว่าแค่ตัดส่วนนั้นออกก็ปลอดภัย เพราะมันฝรั่งลักษณะนี้มีสารพิษธรรมชาติชื่อ โซลานีน (solanine) และ ชาโคนีน (chaconine) ซึ่งอาจทำลายตับ ทำให้คลื่นไส้ ท้องเสีย เวียนศีรษะ ไปจนถึงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความดันต่ำ หรือถึงขั้นหมดสติได้หากรับเข้าไปในปริมาณมาก

    ที่สำคัญ สารพิษนี้ไม่สลายแม้ผ่านการปรุงสุก และยังสามารถกระจายไปทั่วทั้งหัวมันฝรั่งอีกด้วย โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ หากรับประทานเข้าไปอาจกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น ถ้ามันฝรั่งมีจุดผิดปกติ ไม่ว่าจะราคาถูกแค่ไหน ก็ไม่ควรนำมาบริโภค

    4. ผักดองแบบเร่งหมัก และไม่ได้ปิดภาชนะให้มิดชิด

    แตงกวาดอง มะเขือดอง หรือหอมดองที่วางขายตามตลาด แม้จะสะดวก แต่แฝงไปด้วยความเสี่ยงหลายประการ โดยเฉพาะประเภทที่เรียกว่า “ดองสุกเร่ง” หรือ “ดองแบบเร่งเวลา” ซึ่งยังหมักไม่ถึงขั้นเต็มที่ ส่งผลให้เกิดสาร ไนไตรต์ ที่เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารสามารถทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ กลายเป็น ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการก่อมะเร็งตับและมะเร็งกระเพาะอาหาร

    ยิ่งกว่านั้น ผักดองที่ขายริมทางมักไม่ได้ปิดฝาให้มิดชิดหรือรักษาความสะอาดอย่างถูกสุขลักษณะ บางเจ้าใช้ “น้ำดองเก่า” ผสมสีสังเคราะห์เพื่อให้ดูน่ารับประทาน ส่งผลให้หลายคนที่กินเข้าไปเกิดอาการท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

    5. ผักผลไม้ที่ถูกปอกและหั่นไว้ล่วงหน้า

    แครอท หัวผักกาดขาว ฟักทอง ฯลฯ ที่ถูกปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นล่วงหน้า แม้จะดูสะดวกและพร้อมใช้ทันที แต่กลับแฝงความเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษอย่างมาก

    ผักเหล่านี้มักเน่าเสียง่าย หากเริ่มเหี่ยวหรือมีรอยเสีย ผู้ขายบางรายอาจเพียงแค่ตัดส่วนที่เน่าออกแล้วนำส่วนที่เหลือกลับมาขายต่อ แม้ดูภายนอกจะดูดี แต่ภายในอาจปนเปื้อนเชื้อราและแบคทีเรียที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไปแล้ว

    หากเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย หรือเกิดการติดเชื้อในลำไส้ได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษา

    ทางที่ดีที่สุดคือ เลือกซื้อผักผลไม้ที่ยังไม่ผ่านการปอกหรือหั่น และนำกลับมาปรุงเองที่บ้านอย่างสะอาดปลอดภัย จะมั่นใจได้มากที่สุดในเรื่องสุขภาพ

  • KUBET – เปิดชีวิต “พระถังซัมจั๋งที่รวยที่สุด” แต่งงานกับมหาเศรษฐีนีแสนล้าน เมียมีกฎเหล็ก 3 ข้อ

    เปิดชีวิต “พระถังซัมจั๋งที่รวยที่สุด” แต่งงานกับมหาเศรษฐีนี เมียมีกฎเหล็ก 3 ข้อ เขียนพินัยกรรมให้เกือบแสนล้าน

    อดีตนักแสดงชื่อดังแห่งซีรีส์ไซอิ๋ว เวอร์ชั่นแรกในตำนาน เมื่อปี 1986 อย่าง จื่อ จงรุ่ย (Chi Chongrui) ผู้รับบทบาท “พระถังซัมจั๋ง” ปัจจุบันในวัย 72 ปี เขากลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในสังคมออนไลน์ของจีน หลังปรากฏตัวในบทบาทใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิด คือการเป็น นายหน้าขายบ้านหรูในกรุงปักกิ่ง โดยเขาโพสต์คลิปวิดีโอแนะนำโครงการอสังหาริมทรัพย์สุดหรู

    ทำให้คำว่า “จื่อ จงรุ่ยขายบ้าน” กลายเป็นคำค้นยอดฮิตบนโซเชียลจีน พร้อมเสียงแซวจากชาวเน็ตว่า “เมื่ออาจารย์ได้คัมภีร์แล้ว ก็ผันตัวมาจับธุรกิจอสังหาแทนสินะ!”

    แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพธรรมดา เพราะแท้จริงแล้ว เขาทำไปเพื่อ สนับสนุนภรรยาคนเก่งอย่าง “เฉินลี่หัว” มหาเศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ใจกลางปักกิ่ง ที่มีรายได้จากค่าเช่าปีละหลายพันล้านหยวน โครงการล่าสุดของเธอตั้งอยู่ในทำเลทองใกล้พระราชวังต้องห้าม และจื่อ จงรุ่ยก็รับหน้าที่เป็น “พรีเซนเตอร์” ด้วยตัวเอง

    จากดาราดังสู่ชีวิตคู่กับมหาเศรษฐีนี

    ย้อนกลับไปในปี 1988 จื่อ จงรุ่ย พบรักกับ เฉินลี่หัว หญิงสาวที่อายุมากกว่าเขา 11 ปี และเป็นนักธุรกิจระดับพันล้านและเข้ามาจีบเขาก่อน ทั้งสองแต่งงานกันหลังจากคบหาดูใจกัน 2 ปี แม้ภายนอกจะดูต่างกันทุกด้าน แต่พวกเขากลับใช้ชีวิตคู่อย่างมั่นคงยาวนานกว่า 35 ปี

    เฉินลี่หัวไม่เพียงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังมีเชื้อสายราชวงศ์แมนจู โดยปัจจุบันมีทรัพย์สินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ราว 200,000 ล้านบาท) และเคยแต่งงานมาแล้ว มีลูกติด 3 คน

    ในวันแต่งงาน เธอประกาศชัดเจนถึงกฎ 3 ข้อที่สามีต้องปฏิบัติตาม

    1. ห้ามมีลูกเพิ่ม

    2. ห้ามพูดแทรกเวลาเธอกำลังพูด

    3. ห้ามแสดงความไม่พอใจทางสีหน้า

    แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าเขาแต่งงานเพราะทรัพย์สินมหาศาล เป็นหนูตกถังข้าวสาร แต่ชีวิตจริงกลับพิสูจน์ว่า ความรักของพวกเขานั้นลึกซึ้งและมั่นคง จื่อ จงรุ่ย เรียกภรรยาว่า “ท่านประธาน” หรือ “คุณนาย” ขณะที่ภรรยาเรียกเขาว่า “พี่ฉือ” ตลอดชีวิตแต่งงาน ทั้งคู่ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ชีวิตเรียบง่ายแต่เคารพซึ่งกันและกัน

    ทุกครั้งที่ภรรยาไปออกงาน จื่อ จงรุ่ย จะตามดูแลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการยกเก้าอี้ เสิร์ฟชา หรือดูแลจนถึงขั้นเรียกได้ว่า “ดูแลถึงรากผม” เขาไม่เคยกล้าเล่นมุกหรือพูดล้อเล่นกับภรรยา เพราะเธอเป็นคนสุขุม จริงจัง

    แม้แต่ในมื้ออาหาร หากภรรยายังไม่เริ่มกิน ไม่มีใครที่โต๊ะกล้าหยิบตะเกียบ และเมื่อลุกจากโต๊ะ ทุกคนต้องลุกขึ้นมาช่วยพยุงเธอไปนั่งพักก่อนจึงจะกลับมากินต่อได้

    อีกหนึ่งเรื่องน่ารักที่กลายเป็นสัญลักษณ์คือ ลูกติดของภรรยาเคยชมว่าเขาดูใจดีเวลาหัวโล้น ทำให้เขารักษาทรงนี้มานานกว่า 30 ปีจนกลายเป็นเอกลักษณ์

    รวยที่สุดในบรรดาพระถัง

    แม้ภายนอกจะดูเหมือนชีวิตเขาอยู่ในกรอบ แต่จื่อ จงรุ่ยคือ “พระถังซัมจั๋งที่รวยที่สุด” ในบรรดานักแสดงจากไซอิ๋วทุกรุ่น ด้วยทรัพย์สินที่ภรรยาระบุไว้ในพินัยกรรมว่า เขาจะได้รับมรดกกว่า 20,000 ล้านหยวน (ราว 90,000 ล้านบาท) ขณะที่ลูกแต่ละคนจะได้รับ 10,000 ล้านหยวน

    เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ความรักของเราไม่ได้วัดจากเงินทอง ผมเพียงหวังว่าเธอจะสุขภาพแข็งแรง และอยู่กับผมต่อไปในเส้นทางชีวิตที่เหลือ”

    Business Magazineเฉิน ลี่หัว หนึ่งในผู้หญิงที่รวยที่สุดในจีน

     

  • KUBET – ดาราโดนวิจารณ์แรง “นางฟ้าให้กำเนิดอีกา” ผ่านมา 16 ปี ลูกโตเป็นสาว เผยใบหน้าอีกครั้ง!

    ลูกสาว “คิม ฮีซอน” พลิกชีวิตจากคำครหาว่า “แม่เป็นนางฟ้า แต่ลูกเป็นอีกา” สวยสง่าจนชาวเน็ตต้องหันกลับมามอง

    กลายเป็นประเด็นฮือฮาในโลกออนไลน์ หลังจาก พัค ยอนอา (Park Yeon Ah) ลูกสาวของนักแสดงระดับตำนานเกาหลีใต้ คิม ฮีซอน (Kim Hee Sun) ได้เผยภาพถ่ายล่าสุดของเธอในวัย 16 ปี ที่สวยสะดุดตาเกินคาด จนทำให้เสียงวิจารณ์ในอดีตต้องเงียบกริบ และหลายคนที่เคยบูลลี่ถึงกับ “หน้าแหก”

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 คิม ฮีซอนให้กำเนิดลูกสาวคนแรก และได้แชร์ภาพถ่ายร่วมกับลูกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวกลับกลายเป็นกระแสดราม่ารุนแรงในเกาหลีใต้ เมื่อชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยวิจารณ์รูปลักษณ์ของยอนอาว่าไม่สวยสมกับเป็นลูกของนักแสดงหญิงที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศ พวกเขาถึงขั้นใช้คำว่า “엄마는 천사, 딸은 까마귀”  (แม่เป็นนางฟ้า ให้กำเนิดอีกา) ซึ่งเป็นสำนวนที่มีความหมายในเชิงเหยียดหรือดูถูกอย่างชัดเจน หรือบางคนก็เรียกเด็กน้อยว่า “ลูกเป็ดขี้เหร่” สร้างบาดแผลในใจอย่างรุนแรง

    ในเวลานั้น คิม ฮีซอนไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ แต่เลือกที่จะปกป้องลูกด้วยความรักและสติ เธอส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ หลีกเลี่ยงแสงแฟลชและกระแสในโลกโซเชียล พร้อมลดงานในวงการบันเทิงเพื่อมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น และให้การสนับสนุนลูกในทุกด้านโดยไม่กดดัน ทั้งด้านการเรียนและความชอบส่วนตัว

    กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พัค ยอนอา ได้โพสต์ภาพของตนเองในวัย 16 ปี ซึ่งเผยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ใบหน้ารูปไข่ ดวงตายาวคมหวาน โครงหน้าชัดเจนมีเสน่ห์ ดูละมุนและสุขุมกว่าที่ใครหลายคนเคยคาดคิด แม้จะไม่ได้เหมือนแม่เป๊ะ แต่ความลงตัวและพัฒนาการด้านรูปลักษณ์ทำให้ชาวเน็ตถึงกับกล่าวว่า “ลูกสาวของคิม ฮีซอนสวยขึ้นมาก!”

    ยอนอาไม่เพียงแค่ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความสามารถ เธอเรียนเก่งระดับท็อปของโรงเรียนมัธยมปลายในลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยก่อนหน้านี้เคยศึกษาในสิงคโปร์ นอกจากนี้ ยังเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรอย่างคลาสศิลปะและการเต้นรำ แสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านและความขยันอย่างแท้จริง

    บุคลิคที่ทั้งเก่งทั้งกล้าแสดงออกเช่นนี้ ย่อมมาเบื้องหลังการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ โดย คิม ฮีซอน เคยเผยว่า ลูกสาวมีนิสัยเหมือนพ่อ คือมีความอดทนสูงและรักความเป็นอิสระ เธอกับสามีไม่เคยบังคับให้ลูกเรียนหนักหรือทำสิ่งที่ไม่ชอบ แต่เลือกใช้วิธีสอนผ่านการเป็นแบบอย่าง เช่น การอ่านบทละครหรือหนังสือต่อหน้าลูกอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่หล่อหลอมให้ลูกเป็นคนมีวินัยและคิดเป็น

    จากเด็กหญิงที่เคยถูกมองข้าม วันนี้ พัค ยอนอา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความมั่นใจและความรักจากครอบครัวสามารถเปลี่ยนคำวิจารณ์ให้กลายเป็นเสียงชื่นชมได้อย่างสง่างาม

  • KUBET – รู้จักกับ “นโรดม สีหมุนี” ชายผู้ได้ชื่อว่า “หล่อสุดในกัมพูชา” โพรไฟล์ชาติกำเนิดสูงส่ง

    ไม่ใช่แค่เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แต่สมัยหนึ่งยังขึ้นชื่อว่า “ชายที่หล่อที่สุดในกัมพูชา” ด้วย สำหรับ “พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี”

    ในสมัยหนุ่มๆ นโรดม สีหมุนี ถูกพูดถึงรูปลักษณ์ที่สง่างามโดดเด่นที่ได้จากท่านแม่อย่าง สมเด็จพระอัคคมเหสีนโรดม มุนีนาถ สีหนุ หรือพระราชินีโมนีก (พระนามเดิม ปอล โมนีก อิซซี) ผู้มีเชื้อสายฝรั่งเศส, คอร์ซิกัน และอิตาลี และพระองค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะ วัฒนธรรม และความมีระดับของราชวงศ์กัมพูชาด้วย

     62577

    กำเนิดและวัยเด็ก

    พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 ณ กรุงพนมเปญ เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และสมเด็จพระราชินีโมนีก ทรงเป็นโอรสองค์โตและได้รับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดในสายศิลปะตั้งแต่วัยเยาว์

    ในปี 1962 ขณะมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา พระองค์เสด็จไปศึกษาต่อที่กรุงปราก สาธารณรัฐเชโกสโลวาเกีย โดยเริ่มต้นศึกษาที่โรงเรียนระบบฝรั่งเศส ก่อนเข้าเรียนศิลปะบัลเลต์และดนตรีเต็มตัว

     bf6e931d5e0678f28f6224f1880

    ศิลปินแห่งราชวงศ์

    พระองค์ทรงจบการศึกษาจาก Conservatory of Prague และ Academy of Performing Arts ในช่วงปี 1967-1975 โดยเน้นด้านบัลเลต์ ดนตรี และศิลปะแสดง และยังทรงมีความสามารถด้านการผลิตภาพยนตร์ โดยเคยศึกษาด้านนี้ที่เกาหลีเหนือในปี 1975

    ระหว่างปี 1976-1979 พระองค์ถูกกักตัวโดยกลุ่มเขมรแดงในพระราชวังหลวง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในชีวิต

     62576

    ชีวิตในฝรั่งเศสและ UNESCO

    หลังจากสิ้นสุดยุคเขมรแดง พระองค์เสด็จไปประทับที่ฝรั่งเศสในปี 1981 ทรงเป็นครูสอนบัลเลต์ในสถาบันศิลปะที่ปารีส และก่อตั้งคณะบัลเลต์ชื่อ “Deva” ซึ่งมีชื่อเสียงในยุโรป

    ในปี 1993 พระองค์ได้รับแต่งตั้งเป็นทูตกัมพูชาประจำยูเนสโก ณ กรุงปารีส ทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลา 11 ปี จนถึงปี 2004

     tumblr_4ccef0300cb4da2cc35b9e

    ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์

    ในปี 2004 พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ สละราชสมบัติ คณะสภามงกุฎแห่งชาติจึงลงมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้ง นโรดม สีหมุนี ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 ของกัมพูชายุคใหม่ โดยเสด็จขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2004

    แม้พระองค์จะไม่ทรงมีบทบาททางการเมืองโดยตรง แต่ทรงมีพระจริยวัตรอ่อนน้อม สมถะ และได้รับความเคารพอย่างสูงจากประชาชน

     a0fa7732d4a3434523b872d9cc2f7

    ทรงพหุภาษาและรักศิลปวัฒนธรรม

    พระองค์สามารถใช้ได้หลายภาษา ได้แก่ ขแมร์, ฝรั่งเศส, เช็ก, อังกฤษ และรัสเซีย ทรงมีความสามารถด้านดนตรีเปียโน, บัลเลต์ และศิลปะภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลักดันการฟื้นฟูบัลเลต์เขมรและศิลปวัฒนธรรมกัมพูชาให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

    นโรดม สีหมุนี ไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ผู้เปี่ยมพระสิริโฉมเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นศิลปิน นักการทูต และผู้นำทางจิตวิญญาณของชาติที่ได้รับความเคารพอย่างสูงทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ

  • KUBET – ต่างชาติเปิด 5 สาขาวิชา มักถูกแปะ “ใบแดง” เรียนไปรอตกงาน มีใบปริญญาแต่ไร้อาชีพ?!

    เปิด 5 สาขาอาชีพที่มักถูก “เตือนใบแดง” ว่าเสี่ยงตกงาน แล้วความจริงของคำว่า “ตกงาน” คืออะไร?

    ทุกฤดูการรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัย มักจะมีรายชื่อสาขาวิชาที่ถูกมองว่า “เรียนไปแล้วก็ตกงาน” หรือ “เรียนจบไม่มีใครรับเข้าทำงาน” ปรากฏขึ้นอีกครั้งในสื่อสังคมออนไลน์ นักศึกษาที่เรียนในสาขาเหล่านี้ มักถูกมองว่าเรียนไปเพื่อที่สุดท้ายก็กลายเป็นคนว่างงาน หลายสาขาถูกพูดถึงซ้ำๆ ทุกปี จนทำให้เด็กหลายคนที่เพิ่งพ้นรั้วมัธยมมาหมายๆ เกิดความลังเลเมื่อต้องเลือกเส้นทางอนาคตของตน

    แล้วสาขาไหนบ้างที่ในยุคนี้มักถูก “ติดใบแดง” ว่าเสี่ยงตกงาน เว็บไซต์ต่างประเทศ SOHA ได้เปิดเผยรายชื่อ 5 สาขาวิชาที่มักถูกหยิบมาพูดในประเด็นนี้ เพื่อวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้น่ากังวลจริงๆ หรือแค่การคาดการณ์ของคนบางกลุ่มแบบไร้ข้อมูล? 

    1. บริหารธุรกิจ

    บริหารธุรกิจเป็นสาขาที่มีนักศึกษาเลือกเรียนจำนวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เพราะความนิยมนี้เอง ทำให้ผู้จ้างงานเริ่มเบื่อหน่ายผู้จบใหม่ที่ขาดทักษะในโลกจริง หากเรียนจบเพียงด้วยเกรดเฉลี่ยธรรมดา ไม่มีประสบการณ์ทำงานจริง ใช้เครื่องมือดิจิทัลไม่เป็น หรือวิเคราะห์ข้อมูลไม่เป็น ก็มีโอกาสสูงที่จะอยู่ในกลุ่ม “ตกงานแฝง” คือเรียนจบแต่หางานไม่ได้ หรือต้องไปทำงานนอกสาย

    อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจริงจังกับการเรียน และมุ่งไปยังสายเฉพาะทาง เช่น การตลาดดิจิทัล, โลจิสติกส์, วิเคราะห์การเงิน, หรือ การจัดการโครงการ คุณยังมีโอกาสเติบโตได้ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สาขา แต่เพราะมีคนเลือกเรียนมากเกินไป โดยไม่เจาะลึก

    2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    ชื่อสาขาฟังดูหรูหรา พร้อมภาพฝันว่าจะได้ทำงานที่สถานทูต องค์กรนานาชาติ หรือเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว สาขานี้ต้องการทักษะภาษาระดับสูง ความคิดวิเคราะห์ที่เฉียบคม และความรู้ลึกด้านการเมือง กฎหมาย รวมทั้งเศรษฐกิจโลก

    เนื่องจากการแข่งขันสูง ตำแหน่งงานน้อย และคุณสมบัติจัดได้ว่าเข้าถึงยาก จึงทำให้สาขานี้ติดกลุ่มเสี่ยงตกงาน แต่หากคุณมีทักษะด้านการสื่อสาร การทำเนื้อหาระดับสากล หรือทักษะการทูตควบคู่กับภาษาดี เชื่อว่าก็ยังสามารถหาทางเดินเฉพาะของตัวเองได้เสมอ

    3. เทคโนโลยีชีวภาพ 

    เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นสาขาแห่งศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะหลังโควิด-19 แต่ในหลายประเทศระบบนิเวศสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพยังไม่แข็งแรง ห้องแล็บ ศูนย์วิจัย หรือบริษัทด้านนี้ยังไม่มากพอที่จะรองรับคนจบใหม่

    ทำให้หลายคนจบมาแล้วต้องเปลี่ยนอาชีพไปสอนหนังสือ หรือเรียนต่อในสายอื่น ทำให้ถูกมองว่าสาขานี้ไม่ได้ “ตาย” แต่ก็ยังไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าไม่หลงใหลการวิจัย หรือไม่อยากเรียนต่อหรือต่างประเทศ

    4. การออกแบบกราฟิก 

    สายนี้ดูน่าสนใจเพราะเน้นความสร้างสรรค์ และมีโอกาสทำงานกับแบรนด์ โฆษณา แฟชั่น หรือเกม แต่ก็มีอัตราการแข่งขันและคัดคนออกสูงมาก เพราะมีผู้เรียนจำนวนมากทุกปี แต่ตำแหน่งงานดีๆ มีจำกัด

    หลายคนเลือกเรียนเพราะคิดว่า “เท่” แต่กลับไม่มีพื้นฐานการออกแบบที่ดี ขาดทักษะเทคนิค หรือไม่ตามเทรนด์ใหม่ๆ ที่สำคัญยังต้องแข่งกับ AI และเครื่องมืออัตโนมัติ ถ้าไม่มีสไตล์หรือจุดเด่นของตัวเอง จะถูกแทนที่ได้ง่าย แม้จะไม่ใช่งานที่ตกงานง่าย แต่ตกขบวนได้ง่ายถ้าไม่พัฒนา

    5. จิตวิทยา

    เมื่อผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น สาขานี้ก็กลายเป็นที่นิยม แต่การจะทำงานด้านจิตวิทยาจริงๆ นั้นไม่ง่าย เพราะในไทยยังมีระบบการฝึกอบรมและข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้เรียนจบแล้วยังหางานตรงสายยาก

    นอกจากนี้ ยังต้องเรียนต่อระดับสูง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องมีความรู้ข้ามศาสตร์ และความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างมาก คนที่จบปริญญาตรีส่วนใหญ่จึงไปทำงานด้าน HR การศึกษา หรือสื่อ ซึ่งเกี่ยวข้องแต่ไม่ตรงกับวิชาชีพจิตวิทยาโดยตรง

    ท้ายที่สุด ไม่มีอาชีพไหนตกงาน ถ้ามีวิธีคิดและการปรับตัวที่ถูกต้อง เพราะความจริงแล้ว ไม่มีสาขาไหน “ตกงาน” อย่างแท้จริง มีแต่ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและคนที่ไม่ตามทัน คนที่เรียนเพื่อเอาแค่ใบปริญญา ขาดทักษะ ไม่พัฒนาตัวเอง หรือยึดติดกับแนวคิดเก่า ๆ เท่านั้นที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    “ใบแดง” คือการเตือนว่า อย่าเลือกสาขาเพราะชื่อดูดี และอย่าเรียนไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแผน ถ้าอยากมีงานทำในสายที่เรียน ต้องเตรียมตัวระยะยาว ยอมปรับตัว และหมั่นอัปเดตตัวเองอยู่เสมอ บางครั้ง สิ่งที่ตัดสินว่าเราจะตกงานหรือไม่ ไม่ใช่ใบปริญญา แต่อยู่ที่ทัศนคติและความสามารถของเราหลังเรียนจบต่างหาก

     

  • KUBET – อายุแค่ 21 นศ.ชายป่วยไต-หัวใจล้มเหลว ภัยเงียบคือ “เครื่องดื่ม” ที่ไม่ใช่เหล้า-น้ำอัดลม!

    ชายวัย 21 ปีไตและหัวใจล้มเหลวรุนแรง: “ต้นเหตุ” คือเครื่องดื่มคุ้นเคยที่ไม่ใช่เหล้าหรือเบียร์

    ชายหนุ่มนักศึกษาวัย 21 ปีรายหนึ่งในอังกฤษต้องเข้าห้องไอซียูนานกว่าสัปดาห์ และรอการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจากภาวะไตและหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่หลายคนคิด แต่เกิดจากการดื่ม “เครื่องดื่มชูกำลัง” ในปริมาณมากเกินไป

    จากรายงานของเว็บไซต์ Business Insider กรณีนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร BMJ Case Reports เพื่อเตือนถึงอันตรายจากการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูง โดยชายหนุ่มรายนี้มีพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มชูกำลังวันละ 4 กระป๋อง (ขนาด 500 มล.) ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี ทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนประมาณ 640 มก. ต่อวัน ซึ่งเกินกว่าขีดจำกัดความปลอดภัยที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) แนะนำคือ 400 มก./วัน

    ชายหนุ่มคนนี้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล St Thomas ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และต้องนอนรักษาตัวเกือบ 2 เดือน โดยมี 1 สัปดาห์ในห้องไอซียู โดยก่อนเข้าโรงพยาบาลเขามีอาการมือสั่น หายใจลำบาก และปัญหาทางเดินอาหารอย่างรุนแรง อาการเหล่านี้รบกวนชีวิตประจำวันจนต้องหยุดเรียน แพทย์ระบุว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายไตและหัวใจเพื่อรักษาชีวิต

    เครื่องดื่มชูกำลัง ภัยเงียบจากคาเฟอีนเกินขนาด

    กรณีนี้ถือเป็นคำเตือนถึงผลกระทบร้ายแรงของการบริโภคคาเฟอีนเกินขนาด โดยเฉพาะจากเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งมีความเข้มข้นของคาเฟอีนสูงกว่ากาแฟหรือชา หากดื่มมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างรุนแรง

    ข้อมูลจาก Business Insider ระบุว่า แม้คาเฟอีนจะเป็นสารกระตุ้นที่ปลอดภัยเมื่อบริโภคในปริมาณพอเหมาะ และมีคุณสมบัติช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและมีพลังงาน แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดความวิตกกังวล หัวใจเต้นเร็ว ความดันต่ำ หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นโคม่าและเสียชีวิต นอกจากนี้ การได้รับคาเฟอีนสูงยังเสี่ยงต่อภาวะกรดเกินในเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตล้มเหลว

    ผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนในรูปแบบเข้มข้น เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวกับพลังงาน การออกกำลังกาย หรือการลดน้ำหนัก ควรใช้อย่างระมัดระวังและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปปริมาณคาเฟอีนที่ถือว่าปลอดภัยคือไม่เกิน 400 มก./วัน หรือประมาณกาแฟ 4 ถ้วยต่อวัน

  • KUBET – หมอเปิดผลวิจัย อวัยวะบางอย่าง อาจบอกใบ้ถึงขนาด “อวัยวะเพศชาย” ไม่ใช่มือ-เท้า

    ขนาดของอวัยวะบางส่วนที่มองเห็นได้ อาจบอกใบ้ถึงขนาดอวัยวะเพศชายได้ ผลวิจัยที่ออกมา อาจทำให้หลายคนประหลาดใจ

    ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า “ขนาดไม่ใช่ทุกอย่าง” อย่างที่ใคร ๆ พูดกัน

    แม้แต่ชายที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอังกฤษเอง ยังเคยออกมายอมรับว่า ขนาดที่ใหญ่เกินไปก็มีข้อเสีย และบางครั้งมันอาจไม่ได้คุ้มอย่างที่คิด

    แต่ถึงอย่างนั้น คำกล่าวที่ว่า “ยิ่งใหญ่ยิ่งดี” ก็ยังคงอยู่ และล่าสุดมีข้อมูลน่าสนใจว่า “ขนาดจมูก” อาจเป็นตัวบ่งบอกที่แท้จริงก็เป็นได้

    Anna Tarazevich

    ดร.เรนา มาลิก แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะจากสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านรายการพอดแคสต์ The Diary of a CEO ว่า

    “มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากญี่ปุ่น ซึ่งศึกษาผู้ชายญี่ปุ่นเท่านั้น จึงอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วพวกเขาวัดขนาดอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงความยาวอวัยวะเพศ”

    “ผลที่ได้คือ ขนาดจมูกมีความสัมพันธ์กับความยาวอวัยวะเพศ ขณะที่ขนาดมือหรือเท้าไม่เกี่ยวข้องกันเลย”

    บทความวิจัยชื่อ “Nose size indicates maximum penile length” ที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMC ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “ความยาวอวัยวะเพศเมื่อยืดสุด (Stretched Penile Length หรือ SPL)” กับขนาดอวัยวะเพศในภาวะปกติ ขนาดจมูก ส่วนสูง และน้ำหนักตัว ในกลุ่มชายวัย 30–50 ปี จำนวน 126 คน

    ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่สัมพันธ์กับ SPL มากที่สุดคือ ความยาวอวัยวะเพศในภาวะปกติ ส่วนอันดับ 2 คือ ขนาดของจมูก

    Pixabay

    บทสรุปของงานวิจัยระบุว่า “ความเชื่อมโยงระหว่างขนาดจมูกกับ SPL ชี้ให้เห็นว่า ความยาวของอวัยวะเพศอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ ส่วนสูง หรือ น้ำหนัก แต่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว”

    โดยสรุปแล้ว งานวิจัยพบว่า ทั้งจมูกและอวัยวะเพศชายเริ่มพัฒนาในช่วงชีวิตก่อนคลอด ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนแอนโดรเจน และการเจริญเติบโตของอวัยวะทั้งสองนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนคลอด ซึ่งหมายความว่า “ขนาด” จะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เกิด

    งานวิจัยอีกชิ้นที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูล National Library of Medicine ก็ระบุเช่นเดียวกันว่า

    “ขนาดจมูกเป็นตัวพยากรณ์ที่มีนัยสำคัญต่อขนาดอวัยวะเพศชาย และขนาดของทั้งจมูกและอวัยวะเพศจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลง งานวิจัยชิ้นนี้ช่วยยืนยันว่า ความเชื่อที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่มายาเกี่ยวกับขนาดอวัยวะเพศ อาจมีความจริงซ่อนอยู่”

    สรุปง่าย ๆ ก็คือ… สำนวน “มือใหญ่ ไซซ์ใหญ่” อาจต้องหลบให้กับ “จมูกโต ไซซ์โหด” แทนแล้ว!