ผู้เขียน: admin

  • KUBET – ผลไม้สามัญประจำบ้าน ดิบฤทธิ์เย็น-สุกฤทธิ์ร้อน สารพัดประโยชน์ เมืองนอกมีค่าดั่งทอง

    ผลไม้สามัญประจำบ้าน คู่ครัวคนไทย ดิบฤทธิ์เย็น-สุกฤทธิ์ร้อน ประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ เมืองนอกมีค่าดั่งทอง  

    มะละกอ เป็นผลไม้เมืองร้อนที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมระบบขับถ่ายและภูมิคุ้มกัน ส่วนต่าง ๆ ของต้นมะละกอ เช่น ผล ใบ ลำต้น และราก อาจช่วยลดการอักเสบ ส่งเสริมการย่อยอาหาร แก้อาการท้องผูก และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เอนไซม์ปาเปน (papain) ที่พบในมะละกอ ยังถูกนำมาใช้ในการหมักเบียร์ ทำให้เนื้อนุ่ม และรักษาแผลเป็นหรือหูดได้อีกด้วย

    มะละกอสามารถกินได้ทั้งดิบและสุก ซึ่งมีคุณประโยชน์และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน 

    มะละกอดิบ

    มะละกอดิบ เป็นผลไม้ฤทธิ์เย็น อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเอนไซม์ “ปาเปน” ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนและส่งเสริมสุขภาพลำไส้ มะละกอดิบมีวิตามิน C, วิตามิน A, โฟเลต, โพแทสเซียม และใยอาหาร ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับปรุงการย่อยอาหาร ส่งเสริมผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง และช่วยควบคุมน้ำหนัก ทั้งยังมีแคลอรีต่ำแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงเหมาะกับการรับประทานเป็นประจำเพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดี

    มะละกอดิบในต่างแดนมีค่าดั่งทอง

    แม้มะละกอดิบจะเป็นของธรรมดาในครัวไทย แต่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่น ราคามะละกอดิบกลับสูงกว่าผลไม้ทั่วไปอย่างมาก เนื่องจากมะละกอเป็นพืชเมืองร้อน ต้องการแสงแดดและอุณหภูมิที่เหมาะสม จึงปลูกได้ดีในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ในหลายเมืองใหญ่ในยุโรป มะละกอดิบกลายเป็นของหายากที่จะมีขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชียเท่านั้ ราคาจึงมักสูงถึง 3–7 เท่าจากราคาขายในไทย มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายร้อยบาทต่อลูก

    ประโยชน์ของการกินมะละกอดิบ

    ตามบทความจาก National Library of Medicine พบว่า Carica papaya มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต่อต้านการติดเชื้อไวรัส ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส และปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน อาจนำไปใช้พัฒนายาและทางเลือกในการรักษาโรคไวรัสในอนาคตได้ โดยประโยชน์เด่นของมะละกอดิบมีดังนี้

    1. ดีต่อระบบย่อยอาหาร : เอนไซม์ปาเปนในมะละกอดิบช่วยย่อยโปรตีน ลดอาการท้องอืด กรดไหลย้อน และแผลในกระเพาะอาหาร เสริมสุขภาพลำไส้ และบำรุงแบคทีเรียดีในระบบย่อยอาหาร

    2. ช่วยควบคุมน้ำหนัก : แคลอรีต่ำแต่ไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มนาน ลดการกินจุกจิก อีกทั้งเอนไซม์ในมะละกอยังอาจช่วยสลายไขมัน

    3. เสริมภูมิคุ้มกัน : วิตามิน C สูง ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยฟื้นฟูร่างกาย

    4. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : มะละกอดิบมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้า ช่วยป้องกันน้ำตาลพุ่งสูง และช่วยให้ตับอ่อนทำงานได้ดีขึ้น

    5. ต้านการอักเสบ : อุดมด้วยสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือโรคหัวใจ

    6. บำรุงผิวพรรณ : วิตามิน A และ C ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวกระจ่างใส ต่อต้านแบคทีเรีย ลดสิว ลดความมันส่วนเกิน

    7. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ :โพแทสเซียมในมะละกอดิบช่วยควบคุมความดันโลหิต ไฟเบอร์ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

    8. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน : เชื่อว่าการกินมะละกอดิบช่วยคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดท้องช่วงมีประจำเดือนได้

    9. บำรุงสายตา : วิตามิน A สูง ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย ส่งเสริมสุขภาพดวงตา

    ข้อควรระวังในการกินมะละกอดิบ

    • ยางมะละกอระคายเคืองผิว : ยางจากมะละกอดิบสามารถทำให้เกิดผื่นคัน แสบร้อน หรือระคายเคืองผิวหนังได้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง และล้างให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร

    • มีสารไซยาไนด์เล็กน้อย : ในเมล็ดและเนื้อมะละกอดิบมีสารไซยาไนด์ในปริมาณน้อย แต่การบริโภคมะละกอดิบในปริมาณที่ใช้ในการปรุงอาหารทั่วไป เช่น ในส้มตำ มักจะมีปริมาณไซยาไนด์ไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอันตราย แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดมะละกอดิบ

    • ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์  เอนไซม์ในมะละกอดิบอาจกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก เสี่ยงต่อการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง

    • อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน  บางคนอาจแพ้มะละกอดิบ ทำให้เกิดผื่น บวม หรือปวดท้อง หากเคยมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน

     

    มะละกอสุก 

    มะละกอสุก เป็นผลไม้หาทานได้ง่าย รสชาติหวานอร่อย อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามมะละกอสุกมีฤทธิ์ร้อน ยิ่งสุกมากก็ยิ่งร้อนมาก มีน้ำตาลสูง เอนไซม์ปาเปนที่ช่วยย่อยอาหารนั้นมีน้อยกว่ามะละกอดิบมาก

    ประโยชน์ของมะละกอสุก

    1. อาจช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด

    มะละกออุดมไปด้วยไลโคปีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (คล้ายเบต้าแคโรทีน) ซึ่งให้สีแดงในผักผลไม้ ไลโคปีนถูกศึกษาว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งและชะลอการเติบโตของเนื้องอก เช่น มีงานวิจัยที่พบว่าคารอทีนอยด์อาจลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม

    มะละกอยังมีวิตามินซีสูง โดยมะละกอสด 1 ถ้วยมีวิตามินซีถึง 88.3 มก. มีการศึกษาพบว่าคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมและได้รับวิตามินซีจากอาหารวันละ 205 มก. จะมีความเสี่ยงน้อยลง 63% เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับเพียง 70 มก. ต่อวัน

    ไลโคปีนยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้ และใยอาหารในมะละกอก็มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลเช่นกัน

    2. อาจช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์

    โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่พบได้บ่อย และเชื่อมโยงกับภาวะความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินไป งานวิจัยบางชิ้นกำลังศึกษาว่าผงมะละกอบ่ม (fermented papaya powder) อาจช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับผงมะละกอบ่มนาน 6 เดือน มีสารบ่งชี้ความเสียหายจากออกซิเดชันลดลงถึง 40%

    อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังมีขนาดเล็ก และผงสกัดมะละกอมีความเข้มข้นสูงกว่าการกินผลสดทั่วไป จึงยังต้องศึกษาต่อเพิ่มเติม

    3. ส่งเสริมระบบทางเดินอาหาร

    มะละกอสุก มีใยอาหารสูง จึงช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ ส่งผลดีต่อการย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนาน และป้องกันอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร และโรคลำไส้กลุ่ม diverticular นอกจากนี้ ใยอาหารยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงคอเลสเตอรอล มะละกอมีน้ำถึง 88% ซึ่งเมื่อรวมกับใยอาหาร จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

    4. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    วิตามินซีในมะละกอช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยวิตามินซีอาจช่วย:

    • ลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัด

    • ป้องกันหรือชะลอการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจ

    • ส่งเสริมสุขภาพเมื่ออายุมากขึ้น

    5. ปกป้องสายตาและการมองเห็น

    คนมักนึกถึงแครอทเมื่อนึกถึงเบต้าแคโรทีน แต่มะละกอกลับมีมากกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับแครอทและมะเขือเทศ โดยเบต้าแคโรทีนมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพตา และอาจช่วยชะลอโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ

    6. ลดการอักเสบ

    อนุมูลอิสระอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกาย และนำไปสู่โรคเรื้อรัง งานวิจัยล่าสุดพบว่าสารสกัดจากมะละกออาจช่วยลดการอักเสบ ชะลอวัย และป้องกันโรคเรื้อรัง โดยลดผลกระทบจากภาวะ oxidative stress

    อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาต่อเพื่อยืนยันความปลอดภัยในการใช้สารสกัดนี้เป็นยารักษาโรค

    ข้อควรระวังในการกินมะละกอสุก

    • ปริมาณน้ำตาล มะละกอสุกมีน้ำตาลตามธรรมชาติ ดังนั้นผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ

    • อาการแพ้ บางคนอาจมีอาการแพ้มะละกอ เช่น มีผื่นคัน ลมพิษ หรืออาการแพ้อื่น ๆ หากมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการกินมะละกอ

    • ฤทธิ์เป็นยาระบาย การกินมะละกอสุกในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบขับถ่ายไวต่อใยอาหาร

  • KUBET – กูรูไต้หวันเตือน เลี่ยงดื่ม “น้ำเปล่า” 4 ประเภท เต็มไปด้วยแบคทีเรีย คนไทยทำทุกข้อ

    นักโภชนาการเตือนว่า แม้จะดื่มน้ำมากขึ้นในหน้าร้อน แต่ก็ควรเป็นน้ำที่ปลอดภัย และน้ำ 4 ประเภทต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยง

    1. น้ำดื่มบรรจุขวดที่ถูกแสงแดดส่องถึง

    นักโภชนาการชาวไต้หวัน พินซวน ระบุว่า ขวดพลาสติกทั่วไป (ชนิด PET) อาจปล่อยสารอันตรายออกมาเมื่อสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน แม้จะไม่ได้โดนแสงแดดโดยตรง แต่หากวางไว้ในรถยนต์ อุณหภูมิภายในอาจสูงถึงกว่า 70 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน ทำให้ขวดพลาสติกเกิดการปล่อยสารพิษหรือบิดเบี้ยว จึงไม่ควรดื่มน้ำจากขวดที่ถูกความร้อนสูงแบบนี้

    1. อมน้ำนานเกินไปในปาก

    นักโภชนาการอธิบายว่า ในช่องปากมีแบคทีเรียอยู่มาก เมื่อน้ำสัมผัสกับแบคทีเรียเหล่านี้ แบคทีเรียจะเริ่มเจริญเติบโต หากอมน้ำนานเกินไป จำนวนแบคทีเรียจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ นักโภชนาการพินซวนแนะนำให้ดื่มน้ำทันที อย่าอมไว้ในปากนาน

    Steve Johnson

    1. น้ำต้มสุกที่เก็บไว้นานหลายวัน

    หลายคนเข้าใจว่าน้ำที่ผ่านการต้มและฆ่าเชื้อแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานไม่จำกัดเวลา แต่นักโภชนาการพินซวนชี้ว่า หากภาชนะไม่สะอาด หรือไม่มีฝาปิดมิดชิด ระหว่างการเก็บ น้ำอาจปนเปื้อนและมีจำนวนจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงไม่ควรเก็บน้ำต้มสุกไว้นานเกินไป

    Jens Johnsson

    1. น้ำที่ยังไม่ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้อ

    หลายคนคิดว่าน้ำจากธรรมชาติบนภูเขาสะอาดและดื่มได้ทันที แต่ความจริงคือน้ำเหล่านี้อาจปนเปื้อนเชื้อโรคหรือพยาธิได้ง่าย หากดื่มโดยไม่ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้อ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

    นอกจากนี้ หลังออกกำลังกายอย่างหนัก หลายคนมักดื่มน้ำในปริมาณมากทันที แต่นักโภชนาการพินซวนเตือนว่า ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุและอิเล็กโทรไลต์จำนวนมากขณะออกแรง

    หากดื่มน้ำเปล่าโดยไม่เสริมเกลือแร่ อาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เกิดอาการอ่อนเพลีย เป็นตะคริว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เธอแนะนำให้ดื่มน้ำในปริมาณพอเหมาะ หรือเติมเกลือลงไปเล็กน้อยเพื่อชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสียไป

  • KUBET – รูปปัจจุบัน ทารกลูกครึ่งฉายา “หน้าสวยที่สุดในโลก” นางฟ้าตัวน้อยในวันนั้น โตขึ้นขนาดนี้แล้ว!

    จำได้ไหม? “โซเฟีย” หนูน้อยชาวสวีเดนที่ได้รับฉายาว่า “ทารกหน้าสวยที่สุดในโลก” ดึงดูดใจผู้ติดตามกว่า 17 ล้านคนทั่วโลก เผยโฉมหน้าพ่อแม่ที่สวยหล่อไม่แพ้กัน

    เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู มักดึงดูดความสนใจและความรักจากผู้ใหญ่ได้เสมอ และหนึ่งในนั้นคือ “โซเฟีย” เด็กสาวชาวสวีเดนที่เคยโด่งดังเมื่อปี 2017 จนได้รับฉายาว่าเป็น “เด็กลูกครึ่งที่สวยที่สุดในโลก” และมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากมายทุกช่องทาง รวมแล้วมากกว่า 17 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันเธอเติบโตขึ้นมามากแล้ว โดยยังคงความงดงามไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

    โซเฟีย มีคุณแม่เป็นชาวมาเลเซีย และคุณพ่อเป็นชาวสวีเดน และลูกสาวก็ได้ถ่ายทอดความงามได้อย่างลงตัว ด้วยใบหน้าที่ได้สัดส่วนจากแม่ และโครงหน้าคมลึกจากพ่อ ทำให้เธอน่ารักราวกับตุ๊กตาเซรามิก มีเครื่องหน้าสวยหวาน ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตสีดำสนิท ขนตางอนยาว จมูกเรียวเล็ก และริมฝีปากเล็กน่ารัก ทุกครั้งที่เธอยิ้มก็ทำให้คนรอบข้างใจละลายด้วยความเอ็นดู

    พ่อแม่ของเธอมักจะอัปโหลดภาพและวิดีโอน่ารักลูกสาวตัวลงโซเชียลอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้โซเฟียเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่สงสัยว่า หนูน้อยโซเฟียสวยขนาดนี้ พ่อแม่ของเธอจะหน้าตาดีขนาดไหน? และเมื่อเห็นภาพถ่ายคุณพ่อคุณแม่หนูน้อยโซเฟียจริงๆ ก็ทำให้ถึงกับตะลึงและต้องยอมรับว่า ทั้งคู่ก็มีหน้าตาที่หล่อสวยไม่แพ้ลูกสาวเลยทีเดียว

    ในทางวิทยาศาสตร์ ความสวยงามของเด็กไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การดูแลหรือสิ่งแวดล้อม แต่พันธุกรรมจากพ่อแม่เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดลักษณะภายนอก เช่น รูปทรงตา สีผิว หรือแม้แต่ลักษณะเส้นผม ยกตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่มีตาสองชั้น ลูกก็มีโอกาสสูงที่จะมีตาสองชั้นเช่นกัน แต่หากพ่อแม่มีตาชั้นเดียว แต่มียีนด้อยในระบบพันธุกรรม เด็กอาจแสดงลักษณะตาชั้นเดียวได้ เป็นต้น

    นอกจากนี้ลักษณะอื่นๆ เช่น การเจริญเติบโตของโครงสร้างจมูกและคาง ก็มีผลต่อความสวยงามของเด็กด้วย เช่น จมูกจะค่อยๆ เติบโตขึ้นตามวัย ในขณะที่ดวงตาจะคงขนาดเดิมตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงสุขภาพฟันและรูปโครงของขากรรไกร ที่หากได้รับการดูแลตั้งแต่เด็กๆ ก็จะช่วยให้ใบหน้าของเด็กดูสวยงามเมื่อโตขึ้น

    ท้ายที่สุดแล้วอย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เป็นของขวัญจากธรรมชาติ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูที่ดีและสร้างความมั่นใจให้เด็ก เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขและสวยงามในแบบของตัวเอง

     

  • KUBET – เจาะขุมกำลัง “ทหารกัมพูชา” อยู่อันดับเท่าไรของโลก? มียุทโธปกรณ์อะไรบ้าง?

    ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศเล็กๆอย่างกัมพูชากำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากเวทีโลก

    ไม่ใช่แค่ในด้านเศรษฐกิจหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้าน “อำนาจทางทหาร” ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสมดุลแห่งภูมิภาค กองทัพกัมพูชาซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในเงาของประเทศมหาอำนาจ วันนี้กลับเริ่มได้รับการจับตามองอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือทางทหารกับจีน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารอย่างต่อเนื่อง

    กองทัพกัมพูชาในปี 2025 ได้รับการจัดอันดับที่ 95 จาก 145 ประเทศทั่วโลกโดย Global Firepower ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยกว่า 60 ด้าน เช่น กำลังพล ยุทโธปกรณ์ งบประมาณ และศักยภาพด้านโลจิสติกส์

     h

    กำลังพลและโครงสร้าง

    กำลังพลประจำการ: ประมาณ 170,300 นาย

    กำลังสำรอง: ประมาณ 100,000 นาย

    งบประมาณทางทหาร: ประมาณ 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 2.5% ของ GDP

    โครงสร้างหลัก: ประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (Gendarmerie)

    กองทัพบก (Royal Cambodian Army)

    รถถังหลัก (Main Battle Tanks): ประมาณ 220 คัน รุ่นที่ใช้งาน ได้แก่ T-54/T-55 (โซเวียต) และ Type 59 (จีน)

    ปืนใหญ่ลากจูง: ข้อมูลเฉพาะไม่เปิดเผย แต่มีการใช้งานปืนใหญ่หลากหลายรุ่น เช่น ZiS-3 (76 มม.), T-12 (100 มม.), D-30 (122 มม.), และ M-46 (130 มม.)

    ระบบป้องกันภัยทางอากาศ: ปืนต่อสู้อากาศยาน: ZPU-1, ZPU-2, ZPU-4, S-60

    ระบบป้องกันภัยทางอากาศพกพา: FN-6, FN-16, QW-3 (จีน)

    ระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะกลาง: KS-1C (จีน)

     z

    กองทัพอากาศ (Royal Cambodian Air Force)

    เครื่องบินรบ: ปัจจุบันไม่มีเครื่องบินรบประจำการ แต่มีแผนจัดซื้อเครื่องบินฝึก/โจมตีเบา L-39NG จำนวน 5 ลำจากสาธารณรัฐเช็ก

    เฮลิคอปเตอร์:

    – Mil Mi-8: 9 ลำ

    – Mil Mi-17: 6 ลำ

    – Harbin Z-9 (จีน): 12 ลำ

    – Eurocopter AS350 (ฝรั่งเศส): 4 ลำ

    – AgustaWestland AW109 (อิตาลี): 2 ลำ

    afp__20240519__34rt4ft__v4__p

    กองทัพเรือ (Royal Cambodian Navy)

    กำลังพล: ประมาณ 4,800 นาย

    เรือรบ:

    – เรือลาดตระเวน: 15 ลำ

    – เรือลาดตระเวนความเร็วสูง: 5 ลำ

    – เรือยนต์และเรือพาย: ประมาณ 200 ลำ

    – เรือดำน้ำ: ไม่มีประจำการ

  • KUBET – รู้จัก “ราชาแห่งผัก” ซูเปอร์ฟู้ดที่คนไทยเข้าใจผิด ผักที่ดีที่สุดในโลก “ราชินี” ยังโปรดเสวย

    “ราชาแห่งผัก” ซูเปอร์ฟู้ดที่คนไทยเข้าใจผิด อุดมประโยชน์จนถูกยกเป็น 1 ในผักที่ดีที่สุดในโลก แม้แต่สมเด็จพระราชินียังโปรดเสวย

    ปวยเล้ง (Spinach) หรือที่ใครหลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าเป็นผักโขม (Amaranth) เป็นอีกหนึ่งผักดีมีประโยชน์ที่ชาวไทย รวมถึงชาวต่างชาตินิยมรับประทานกันมาอย่างยาวนาน มีวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายเยอะ หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และรสชาติดี จึงทำให้ปวยเล้งถูกดัดแปลงไปทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลายทั้งอาหารตะวันตก และตะวันออก 

    ผักปวยเล้งมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอาหรับ ชาวอาหรับให้สมญาผักปวยเล้งว่า “ราชาแห่งผัก” มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ถัง สมัยพระเจ้าถังไท่จง กษัตริย์เนปาลได้ถวายเครื่องราชบรรณาการ โดยมีผักปวยเล้งอยู่ด้วย

    ปวยเล้ง เป็นผักที่ให้พลังงานแก่ป็อปอาย แต่คนเข้าใจผิดว่ามันคือผักโขม 

    Baby spinach

    Baby spinach คือปวยเล้งใบเรียบที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่ต้นอ่อน อายุเพียง 15–35 วันหลังปลูก ใบมีขนาดเล็ก เนื้อนุ่ม และรสชาติหวานกว่าแบบโตเต็มวัย เหมาะสำหรับใส่สลัดเพราะก้านก็นุ่มกว่า คุณค่าทางโภชนาการของผักโขมเบบี้และผักโขมโตเต็มวัยแทบไม่แตกต่างกัน

     

    ประโยชน์ของปวยเล้ง

    1. มีวิตามินซีที่สูงมาก โดยการทานผักปวยเล้งวันละ 100 กรัม จะได้รับวิตามินซีสูงเทียบเท่ากับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน จึงช่วยในการป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้ บำรุงผิวพรรณ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

    2. มีวิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) สูง ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยในการบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผมให้แข็งแรง

    3. มีสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นสารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยรักษาโรคตาบอดกลางคืน ต้อกระจก และอาการเพลียตาจากการใช้สายตามากๆ

    4. มีสารลูทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสมอง ลดโอกาสในการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ และป้องกันมะเร็งจากอนุมูลอิสระได้

    5. มีธาตุเหล็ก โฟเลต และวิตามินบี 12 ที่ช่วยในการบำรุงเลือด ห้ามเลือด รักษาอาการเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน

    6. มีวิตามินเคและแคลเซียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างกระดูกและฟัน ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

    7. มีกรดโฟลิก ซึ่งเป็นสารจำเป็นในการสร้างสารเซโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท จึงช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น

    8. มีสารซาโปนิน เป็นสารที่ขจัดคอเลสเตอรอลในเลือดโดยเฉพาะ จึงเหมาะกับผู้มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

    9. มีคุณสมบัติกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งสารอินซูลิน จึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

    10. มีเส้นใยอาหารชนิดดี จึงช่วยรักษาโรคท้องผูกและโรคริดสีดวงทวาร บรรเทาและฟื้นฟูสภาพผิดปกติในลำไส้ใหญ่ รวมถึงช่วยห้ามเลือดแผลในลำไส้ได้

    ปวยเล้ง (Spinach)

    ผักที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 โปรดเสวย

    ดาเรน แมคเกรดี อดีตเชฟประจำราชสำนัก เปิดเผยว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นผู้ที่กินเพื่ออยู่ มากกว่าอยู่เพื่อกิน พระองค์จึงเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพเสมอ โดยเฉพาะ Spinach หรือ ปวยเล้ง ซึ่งเป็นผักใบเขียวที่ทรงโปรดมาอย่างยาวนาน

    พระองค์มักเสวยผักร่วมกับปลาไขมันต่ำในมื้อกลางวัน ซึ่งให้ทั้งโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หนึ่งในเมนูประจำของพระองค์คือ “ปลาโดเวอร์โซล์ย่าง” เสิร์ฟบนสปิแนชลวกหรือซูกินี 

    ผักที่ดีที่สุดในโลก

    ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ The Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ได้เผยแพร่รายชื่อ ผักที่ดีที่สุดในโลก ตามรายงานของนิตยสาร First For Women ของสหรัฐฯ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มีผักหลายชนิดในรายการนี้ที่สามารถพบได้ง่ายในประเทศไทย ซึ่ง ปวยเล้ง อยู่ในลำดับที่ 5

    1. วอเตอร์เครส หรือ สลัดน้ำ (Watercress) – 100.00 คะแนน
    2. ผักกาดขาว (Chinese Cabbage) – 91.99 คะแนน
    3. ชาร์ด (Chard) – 89.27 คะแนน
    4. บีทกรีน (Beet Greens) – 87.08 คะแนน
    5. ปวยเล้ง (Spinach) – 86.43 คะแนน

     

    ข้อควรระวังของปวยเล้ง

    ในปวยเล้งจะมีกรดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กรดออกเซลิค อยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งสารชนิดนี้จะมีส่วนทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กในตัวมันได้ นอกจากว่าจะกินผักขมอย่างถูกวิธี ไม่ควรรับประทานดิบ แต่ควรนำมาปรุงให้สุกก่อน เพื่อเป็นการทำลายกรดออกเซลิค

    สำหรับผู้ที่เป็นโรคนิ่ว โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และในกลุ่มผู้ที่สะสมปริมาณของแคลเซียม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณมาก

  • KUBET – ผักบ้านๆ ที่ถูกยกเป็น “ยาของคนจน” หนึ่งในผักที่ดีที่สุดในโลก วิตามินซีสูงกว่ามะนาว

    ผักบ้านๆ ใกล้ตัวคนไทย ที่เป็น “ยาของคนจน” ต่างชาติยกเป็นผักที่ดีที่สุดในโลก บำรุงอวัยวะภายใน ป้องกันมะเร็ง วิตามินซีสูงกว่ามะนาว

    วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย เมื่อพูดถึงอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี หลายคนมักนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ส้มเขียวหวาน และส้มโอ อย่างไรก็ตาม ยังมีผักบางชนิดที่มีรสหวานและอร่อย แต่กลับมีปริมาณวิตามินซีสูง เช่น กะหล่ำปลี

    จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) พบว่า กะหล่ำปลีสด 100 กรัม มีวิตามินซี 36.6 มิลลิกรัม ขณะที่มะนาว 100 กรัม มีเพียง 29.1 มิลลิกรัม ซึ่งหมายความว่า กะหล่ำปลีให้วิตามินซีมากกว่ามะนาวเสียอีก

    นอกจากวิตามินซีแล้ว USDA ยังระบุว่า ในกะหล่ำปลี 100 กรัม มีโปรตีน 1.28 กรัม ใยอาหาร 2.5 กรัม น้ำตาล 3.2 กรัม โพแทสเซียม 170 มิลลิกรัม แคลเซียม 40 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม และยังมีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินเค เป็นต้น

    กะหล่ำปลี: ผักมากคุณค่า

    ด้วยสารอาหารที่หลากหลาย กะหล่ำปลีจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน นักโภชนาการชาวอเมริกัน Julia Zumpano กล่าวผ่านเว็บไซต์ของ Cleveland Clinic ว่า “มีงานวิจัยมากมายที่พิสูจน์แล้วว่ากะหล่ำปลีมีประโยชน์ต่อร่างกาย”

    ประโยชน์เด่นของกะหล่ำปลี

    1. ช่วยระบบย่อยอาหาร และลดน้ำหนัก

    เว็บไซต์ Cleveland Clinic ระบุว่า กะหล่ำปลีมีสารไฟโตสเตอรอล (sterol จากพืช) และใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย นอกจากนี้ยังส่งเสริมจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น

    Zumpano ยังเสริมว่า “กะหล่ำปลีช่วยป้องกันอาการท้องผูก และใยอาหารช่วยให้อิ่มนาน ลดการดูดซึมแคลอรี จึงช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย”

    2. ต้านการอักเสบ

    งานวิจัยใน International Journal of Food Sciences and Nutrition พบว่า กะหล่ำปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น kaempferol, quercetin และ apigenin ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ต้านการอักเสบในร่างกาย ช่วยขจัดของเสียและออกซิเจนชนิดรุนแรง (ROS) ตามข้อมูลจากเว็บไซต์สุขภาพ Everyday Health

    3. ดีต่อหัวใจ

    มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า kaempferol และ quercetin ในกะหล่ำปลีสามารถส่งเสริมการทำงานของหัวใจ และจากวารสาร British Journal of Nutrition ยังพบว่า ผู้หญิงวัยกลางคนที่บริโภคผักตระกูลกะหล่ำมาก มีแนวโน้มเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวน้อยลง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ

    โพแทสเซียมในกะหล่ำปลียังช่วยควบคุมความดันโลหิต และใยอาหารสามารถลดระดับไขมัน LDL (ไขมันเลว) ได้ด้วย ซึ่งล้วนช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    4. ป้องกันมะเร็ง

    เว็บไซต์ Everyday Health ระบุว่า วิตามินซีในกะหล่ำปลีช่วยป้องกันมะเร็ง งานวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับอ่อน

    งานวิจัยใน British Journal of Nutrition ยังพบว่า ผักตระกูลกะหล่ำรวมถึงกะหล่ำปลีสามารถช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม และงานวิจัยใน Annals of Oncology ก็ชี้ว่ากะหล่ำปลีช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

    นักโภชนาการด้านมะเร็งจากสหรัฐฯ Cindy Chou ระบุว่า กะหล่ำปลีมีสาร glucosinolate ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ จึงช่วยในการป้องกันมะเร็งได้

    กะหล่ำปลีในแง่การแพทย์แผนจีน

    รองประธานสมาคมแพทย์แผนจีนจังหวัดด่งนาย (เวียดนาม) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Tuổi Trẻ ว่า กะหล่ำปลีถือเป็น “ยาของคนจน” ตามหลักแพทย์แผนจีน ผักชนิดนี้มีรสหวาน เย็น มีสรรพคุณปรับเลือด ขจัดพิษ ลดเสมหะ สร้างน้ำในร่างกาย แก้กระหายน้ำ บรรเทาอาการแน่นท้อง ขับปัสสาวะ และล้างพิษ

    ในแง่การแพทย์แผนจีน กะหล่ำปลีช่วยบำรุงหัวใจและไต ลดอาการเจ็บ ปรับสมดุลเลือด บำรุงไขกระดูก บำรุงอวัยวะภายใน ช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะลำบาก และท้องผูก

    อเมริกาจัดเป็นผักที่ดีที่สุดในโลก

    “กะหล่ำปลี” คือผักที่ได้รับการยอมรับจาก CDC  หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นหนึ่งในผักที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลก ทั้งรสชาติอร่อย ราคาไม่แพง และสามารถนำไปปรุงได้หลายเมนู จึงมักพบในอาหารประจำวัน ที่สำคัญคือเต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ดังนี้

    • อุดมไปด้วยสารอาหาร : กะหล่ำปลีมีแคลอรี่ต่ำ แต่เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ใน 100 กรัมจะมีแคลอรี่ประมาณ 12 กิโลแคลอรี่ มีน้ำ 95.14 กรัม โปรตีน 0.86 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม ใยอาหาร 0.94 กรัม และวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน A, C, E
    • ดีสำหรับผิวพรรณ : การทานผักที่มีน้ำและวิตามินสูงอย่างกะหล่ำปลี ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและนุ่มนวล
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : กะหล่ำปลีมีวิตามิน C สูง ซึ่งช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    • ดีต่อระบบการย่อยอาหาร : กะหล่ำปลีช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้
    • เสริมสร้างกระดูก : กะหล่ำปลีมีฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูก
    • ช่วยลดการอักเสบของข้อ : วิตามิน B3 ในกะหล่ำปลีช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อ ลดอาการปวดข้อ
    • ลดอาการหอบหืด : การทานกะหล่ำปลีบ่อยๆ ช่วยให้กล้ามเนื้อหลอดลมผ่อนคลาย และลดอาการหายใจเสียงดัง
    • ดีต่อสุขภาพหัวใจ : กะหล่ำปลีมีวิตามิน B9 ที่ช่วยลดสารฮโมซิสเตอีนในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

    ผักที่คนไทยคุ้นเคย แต่ราคาสูงในญี่ปุ่น

    กะหล่ำปลีเป็นผักที่คุ้นเคยของคนไทย เนื่องจากเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารและปรุงอาหารได้หลากหลาย กะหล่ำปลีจึงเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น และเป็นวัตถุดิบสำคัญในเมนู ทงคัตสึ (หมูชุบแป้งทอด)

    เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรญี่ปุ่นเผยว่า ราคากะหล่ำปลีพุ่งขึ้นถึง 3 เท่า โดยปกติหัวละ 100 เยน แต่ช่วงต้นปีราคาขึ้นไปถึง 400 เยน และบางที่ขายถึง 1,000 เยน

    สาเหตุหลักคือ ภัยแล้ง ฤดูร้อนที่ร้อนจัด และฝนตกหนักเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้พืชผลเสียหายอย่างหนักในญี่ปุ่น

  • KUBET – เปรียบเทียบ “ค่าครองชีพ” ไทย-กัมพูชา ข้าว 1 มื้อ หรือ กาแฟ 1 แก้ว ชาติไหนแพงกว่ากัน

    เทียบค่าครองชีพ ไทย-กัมพูชา ข้าว 1 มื้อ หรือ กาแฟ 1 แก้ว ชาติไหนแพงกว่ากัน

    ในปี 2025 การเปรียบเทียบค่าครองชีพระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชาถือเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และค่าที่พักอาศัย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละประเทศ

    ภาพรวมค่าครองชีพ

    จากข้อมูลล่าสุดในปี 2025 เมือง พนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 123 ของโลก และเป็น อันดับ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ขณะที่กรุงเทพฯ อยู่ที่อันดับ 129 ของโลก และ อันดับ 3 ในอาเซียน ซึ่งหมายความว่าค่าครองชีพในพนมเปญสูงกว่ากรุงเทพฯ เล็กน้อย

    ดัชนีค่าครองชีพของกัมพูชาอยู่ที่ 38.5% ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 36.0% ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีค่าครองชีพโดยรวมสูงกว่าเล็กน้อย

    ค่าแรงและรายได้เฉลี่ย

    • ค่าแรงขั้นต่ำกัมพูชา: ประมาณ 204 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7,153 บาท ต่อเดือน
    • ค่าแรงขั้นต่ำไทย: ปี 2568 อยู่ระหว่าง 337–400 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่
    • รายได้เฉลี่ยของคนไทย: ประมาณ 29,502 บาทต่อเดือน

    เปรียบเทียบราคาสินค้าและบริการ

    รายการ ราคากัมพูชา (USD) ราคากัมพูชา (บาท) % ต่อค่าแรงขั้นต่ำรายวันกัมพูชา ราคาไทย (บาท) % ต่อค่าแรงขั้นต่ำรายวันไทย
    ข้าวผัด 1 มื้อ 4.5 – 5.0 157.5 – 175 63% – 74% 45 – 60 12% – 18%
    กาแฟคาปูชิโน่ 1 แก้ว 3.0 105 42% 40 – 60 11% – 18%
    น้ำดื่ม 1.5 ลิตร 0.70 24.5 10% 10 – 15 3% – 5%
    นม 1 ลิตร 2.16 75.6 30% 50 – 60 14% – 18%
    ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ 1 ห้องนอน (ใจกลางเมือง) 510 17,850 7,140% 15,000 – 20,000 4,032% – 6,060%

    อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ: 1 USD ≈ 35 บาท

    วิเคราะห์กำลังซื้อ

    เมื่อพิจารณาสัดส่วนราคาสินค้าต่อค่าแรงขั้นต่ำรายวัน จะเห็นได้ชัดว่าแรงงานในกัมพูชาต้องจ่ายเงินมากกว่าสำหรับสินค้าพื้นฐาน เช่น ข้าวและกาแฟ เมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำของตน โดยเฉพาะค่าเช่าที่พักซึ่งสูงเกินกว่ารายได้ขั้นต่ำหลายเท่าตัว ทำให้กำลังซื้อของแรงงานกัมพูชาอาจต่ำกว่าแรงงานไทยในภาพรวม

    สรุป

    • ข้าว 1 มื้อและกาแฟ 1 แก้วในกัมพูชา มีราคาสูงกว่าประเทศไทยชัดเจนเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ คิดเป็น 3-4 เท่าของไทยในเชิงสัดส่วน
    • สินค้าจำเป็น เช่น น้ำดื่มและนม ก็มีราคาสูงกว่าไทยหลายเท่า
    • ค่าเช่าที่พัก ในกรุงพนมเปญสูงเมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำรายเดือน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของแรงงาน

    ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของค่าครองชีพที่อาจไม่สัมพันธ์กับรายได้ของประชาชนในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในกัมพูชาที่ค่าครองชีพในเมืองหลวงสูงกว่าทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำยังคงต่ำกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ

  • KUBET – คนไทยได้ยินชื่อแล้วร้องอ๋อ “ปลาน้ำจืด” โปรตีนสูงกว่าแซลมอน แถมบำรุงไตได้ดี

    หลายคนไม่รู้ มี “ปลาน้ำจืด” 1 ชนิดที่โปรตีนสูงกว่าปลาแซลมอน แถมบำรุงไตได้ดี คนไทยรู้จักดี ได้ยินชื่อแล้วร้องอ๋อ

    โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและคงการทำงานที่จำเป็นต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อพูดถึงอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน หลายคนมักนึกถึงปลาแซลมอนก่อนเสมอ แต่ในความเป็นจริง ยังมีปลาชนิดหนึ่งที่ให้โปรตีนมากกว่าปลาแซลมอน นั่นคือ ปลาไน หรือ ปลาคาร์ป ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน

    จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่า ปลาไน 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 22.9 กรัม (ขึ้นอยู่กับชนิด) ซึ่งมากกว่าปลาแซลมอนที่ให้เพียง 20 กรัมต่อ 100 กรัม

    นอกจากโปรตีนแล้ว ปลาไนยังอุดมด้วยสารอาหารสำคัญอื่น ๆ เช่น ฟอสฟอรัส 531 มิลลิกรัม, โพแทสเซียม 427 มิลลิกรัม, แคลเซียม 52 มิลลิกรัม, แมกนีเซียม 38 มิลลิกรัม และยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ ในปริมาณเล็กน้อย เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง และซีลีเนียม รวมถึงวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน A, B6, B12 และวิตามิน C อีกด้วย

    ประโยชน์ของปลาไน

    ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน ปลาไนมีรสหวาน ฤทธิ์เย็น ปรับสมดุลม้ามและกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงพลังงาน บำรุงม้าม บำรุงไต เสริมกำลัง ลดอาการปวด ลดบวม ขับความร้อนและพิษออกจากร่างกาย รวมถึงช่วยขับปัสสาวะ มักถูกใช้ในตำรับยาจีนสำหรับบรรเทาอาการม้ามอ่อนแอ ระบบย่อยอาหารมีปัญหา บวมน้ำ ตัวเหลือง เสริมภูมิคุ้มกัน และล้างพิษ ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Sohu

    ในทางการแพทย์สมัยใหม่ก็ยืนยันว่า ปลาไนให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้านเช่นกัน

    ช่วยลดน้ำหนัก เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

    ตามรายงานจากเว็บไซต์ Sohu ของจีน หนึ่งในจุดเด่นของปลาไนคือมีโปรตีนคุณภาพสูง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดการสะสมไขมันในร่างกาย

    โปรตีนจากปลาไนมีกรดอะมิโนจำเป็น ช่วยในการฟื้นฟูเซลล์และกระตุ้นการเผาผลาญ การรับประทานปลาไนเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารจึงสามารถให้พลังงานที่ยั่งยืน และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ดีต่อหัวใจและสมอง

    ปลาไนอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น กรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันการเกิดคราบไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคหัวใจต่าง ๆ

    นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมกา-3 ยังช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ป้องกันภาวะความจำเสื่อม และลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าอีกด้วย

    บำรุงสายตา เสริมความแข็งแรงของกระดูก

    ปลาไนอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี12 แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก โดยวิตามินเอช่วยดูแลสุขภาพดวงตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับสายตา ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

    ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ

    ปลาไนยังมีสารซีลีเนียม สังกะสี และฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ และป้องกันโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในปลาไนยังช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบอีกด้วย

  • KUBET – “นนนี่ นนลนีย์” ลูกสาว “แอน สิเรียม” กับอาชีพพนักงานประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่

    นนนี่ นนลนีย์ ลูกสาวคนเดียว แอน สิเรียม บทบาทพนักงานประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่ สวยและเก่งมาก

    เปิดบทใหม่ในชีวิตสำหรับ นนนี่-นนลนีย์ ภักดีดำรงฤทธิ์ ลูกสาวคนเก่งของนักแสดงชื่อดัง แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ หลังจากใช้ชีวิตในต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบ จากนั้น นนนี่ กลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยอย่างถาวร เริ่มต้นด้วยการทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับคุณแม่ ด้วยการจัดคิวและประสานงานต่างๆ ซึ่ง แม่แอน ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่าลูกสาวทำหน้าที่ได้ดีมากๆ 

    จากนั้น นนนี่ ได้เว้นวรรคจากงานในวงการบันเทิง และเริ่มต้นบทบาทในการเป็นพนักงงานออฟฟิศแบบเต็มตัว กับพนักงานประจำการท่าอาการยานเชียงใหม่ โดยเมื่อต้นปีที่แล้ว 2567 นนนี่ ได้ลงภาพพร้อมกับชุดยูนิฟอร์มของพนักงานการท่าฯ อย่างเป็นทางการ และระบุข้อความครบรอบ 36 ปีท่าอากาศยานเชียงใหม่ หลายคนเห็นบทบาทใหม่ของ นนนี่ ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเธออย่างล้นหลามเลยทีเดียว 

    และในปีนี้ นนนี่ ได้ลงภาพในชุดยูนิฟอร์มสวยและเท่มากๆ อีกครั้ง พร้อมกับเขียนครบรอบการท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นปีที่ 37  

    ด้านการศึกษา นนนี่ มีโปรไฟล์ที่เริ่ดมากๆ จบปริญญาตรีสาขา International Business จาก University of Westminster และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางด้าน Msc Occupational and Business Psychology จาก Kingston University ประเทศอังกฤษ

    เรียกได้ว่าสวยและเก่งมาก เป็นความภาคภูมิใจของ แม่แอน สิเรียม ที่สุด 

  • KUBET – พนักงานออฟฟิศดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร แต่ยังเป็นนิ่วในไต หมอชี้ “จุดพลาด” จำให้ขึ้นใจ 4 ข้อ

    พนักงานออฟฟิศดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ข้องใจทำไมถึงยังเป็นนิ่วในไต หมอชี้ “จุดพลาด” จำให้ขึ้นใจ 4 ข้อนี้ ดื่มผิดวิธี ดื่มเยอะก็ไม่ช่วย

    มีพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง ดื่มน้ำไม่น้อยกว่าวันละ 2 ลิตรเป็นประจำ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับรู้สึกปวดเอวอย่างรุนแรง จนต้องรีบไปพบแพทย์ และพบว่าเป็น นิ่วในไต ซึ่งสร้างความแปลกใจให้เขามาก เพราะคิดว่าดื่มน้ำเยอะไม่น่าจะเป็นนิ่วได้แพทย์จึงออกมาไขความเข้าใจผิดว่า “การดื่มน้ำมากไม่ได้แปลว่าจะไม่เป็นนิ่วในไต”

    หมอเฉพาะทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะของไต้หวัน ดร.ชวี หยวนเจิง ได้แชร์เคสนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า พนักงานออฟฟิศอายุ 35 ปีรายหนึ่ง มีอาการปวดเอวมากจนเหงื่อออกและยืนไม่ไหว เมื่อตรวจพบว่า มีนิ่วในไตขนาด 5 มิลลิเมตร ทั้งที่เจ้าตัวดื่มน้ำวันละมากกว่า 2 ลิตรทุกวัน

    ทำไมดื่มน้ำมากแต่ยังเป็นนิ่ว?

    จากการศึกษาทางคลินิกพบว่า มากกว่า 70% ของผู้ป่วยโรคนิ่วในไต ดื่มน้ำในปริมาณไม่น้อยในแต่ละวัน แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ “วิธีดื่มน้ำ” ไม่ใช่แค่ปริมาณรวม เพราะหากดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ร่างกายจะขับออกเร็ว ทำให้ปัสสาวะเจือจางแค่ช่วงสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาเข้มข้นอีก ซึ่งไม่ช่วยป้องกันนิ่วในไต หัวใจสำคัญคือ “ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอและเป็นจังหวะ” มากกว่าการวัดแค่ปริมาณรวม

    4 วิธีดื่มน้ำให้ได้ผล ป้องกันนิ่วในไต

    1. ดื่มน้อยแต่บ่อย จิบทีละนิดอย่างช้า ๆ

    • ปริมาณน้ำที่เหมาะสม: น้ำหนักตัว (กก.) × 30 มล.

    • หากออกกำลังกายมาก เหงื่อออกเยอะ หรืออยู่ในห้องแอร์นาน ให้เพิ่มเป็น × 40 มล.

    • อย่ารอจนกระหายน้ำแล้วค่อยดื่ม แนะนำจิบ 200–300 มล. ทุก 30–60 นาที เพื่อให้ไตทำงานต่อเนื่อง

    2. อย่ารอให้กระหาย และอย่าดื่มรวดเดียวปริมาณมาก

    • ความกระหายน้ำบ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำมาแล้ว 2–3 ชั่วโมง

    • หากดื่มรวดเดียวมาก ๆ ร่างกายจะดูดซึมได้แค่ประมาณ 200 มล. ภายใน 20 นาที ส่วนที่เกินจะถูกขับออกทันที

    • น้ำที่ดื่มจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์หรือช่วยเจือจางปัสสาวะได้อย่างแท้จริง

    • ดังนั้นควร จิบช้า ๆ ทีละนิด เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้เต็มที่

    3. สังเกตความถี่ของการปัสสาวะ

    • โดยทั่วไปผู้ใหญ่ควรปัสสาวะวันละ 4–7 ครั้ง หรือทุก 2–3 ชั่วโมง

    • หากถ่ายน้ำน้อยกว่า 4 ครั้งต่อวัน แสดงว่าดื่มน้ำน้อยเกินไป และปัสสาวะเข้มข้น

    • ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต

    4. ชา กาแฟ และเครื่องดื่มหวาน ไม่เท่ากับน้ำเปล่า

    • เครื่องดื่มอย่างชานม กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มหวาน ไม่ถือว่าเป็นน้ำที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย

    • เพราะคาเฟอีนและน้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้รบกวนการดูดซึมแคลเซียม และเพิ่มความเข้มข้นของแคลเซียมในปัสสาวะ

    • จึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่ว

    • คำแนะนำคือ ทุกครั้งที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ ควรดื่มน้ำเปล่าเพิ่มอีก 300 มล. เพื่อช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียและช่วยให้ไตทำงานได้ดี